เพื่อพัฒนาเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น โปรดสละเวลา 1 นาที ในการตอบแบบสอบถามจากเรา Click !!

บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน


อันตรกิริยาระหว่างส้มโอกับยา (ตอนที่ 2)


อาจารย์ ดร.ภญ.นิศารัตน์ ศิริวัฒนเมธานนท์ และ อาจารย์ ดร.ภก.ภานุพงษ์ พงษ์ชีวิน ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

อ่านแล้ว 35,373 ครั้ง  
ตั้งแต่วันที่ 06/06/2558
อ่านล่าสุด 1 วันที่แล้ว

Scan เพื่ออ่านบนมือถือของคุณ
 


อ่านบทความ “อันตรกิริยาระหว่างส้มโอกับยา (ตอนที่ 1)


รายชื่อยาที่สามารถเกิดอันตรกิริยากับเกรปฟรุตได้ ได้ถูกรวบรวมไว้ในตารางข้างล่างนี้ โดยในตารางได้ระบุชื่อยา รวมทั้งแนวโน้มที่จะเกิดอันตรกิริยา อาการที่อาจเกิด และรายชื่อยาที่สามารถใช้ทดแทนยาตัวนั้นๆ ได้หากต้องการรับประทานเกรปฟรุตหรือส้มโอ ซึ่งยาที่ใช้ทดแทนนี้จะให้ผลในการรักษาที่ใกล้เคียงกัน แต่ไม่ทำให้เกิดอันตรกิริยากับเกรปฟรุตหรือส้มโอ 
(หมายเหตุ: ยังมียาอื่นๆ ที่มีรายงานว่าสามารถเกิดอันตรกิริยากับเกรปฟรุตได้ที่ไม่ได้ถูกรวบรวมมาไว้ในตารางนี้ แต่ท่านผู้อ่านสามารถตรวจสอบได้ในฐานข้อมูลที่เกี่ยวกับอันตรกิริยาระหว่างเกรปฟรุตกับยาหรือฐานข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ระบุชนิดของอาหารที่ควรระวังเมื่อรับประทานยานั้นๆ ได้โดยตรง) 
 
อย่างไรก็ตาม การเกิดอันตรกิริยาระหว่างเกรปฟรุตหรือส้มโอกับยาและการตอบสนองต่อสาร Bergamottin ของแต่ละบุคคลนั้นแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปริมาณของเอนไซม์ Cytochrome P450 ที่มีอยู่ในร่างกายของคนนั้นๆ เพราะฉะนั้นผลที่เกิดขึ้นในคนๆ หนึ่งอาจไม่เกิดขึ้นกับอีกคนก็ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น การสังเกตตัวเองหลังจากการรับประทานส้มโอพร้อมกับยา จึงเป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อที่จะประเมินว่าเราสามารถรับประทานส้มโอพร้อมกับยาที่เราใช้อยู่ได้หรือไม่ การงดรับประทานส้มโอไปเลย เป็นสิ่งที่ผู้เขียนไม่แนะนำ เนื่องจากว่า ส้มโอนั้น มีแร่ธาตุและวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและยังช่วยต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย 
รายงานการเกิดพิษอย่างรุนแรงจากการรับประทานยาพร้อมกับเกรปฟรุต ซึ่งเกิดขึ้นในต่างประเทศ ได้ถูกรวบรวมไว้ในตารางข้างล่างนี้ ซึ่งตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่าคนส่วนใหญ่ที่เกิดพิษจากยาที่ค่อนข้างรุนแรงนั้น ได้รับประทานเกรปฟรุตหรือน้ำเกรปฟรุตในปริมาณที่ค่อนข้างสูงหรือต่อเนื่องกัน ดังต่อไปนี้ 
 
ซึ่งจากตารางนี้ พบว่าหากผู้ป่วยมีการรับประทานเกรปฟรุตในปริมาณที่ค่อนข้างมาก ก็จะเกิดพิษค่อนข้างเยอะ แต่อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าสารกลุ่ม Fluranocoumarins ในส้มโอนั้นมีน้อยกว่าที่พบในเกรปฟรุต ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาและส้มโอนั้นก็จะมีน้อยลงและผลเสียที่เกิดขึ้นก็จะรุนแรงน้อยกว่าด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเรายังต้องพิจารณาถึงปริมาณส้มโอที่รับประทานเข้าไปด้วย เพราะถึงจะมีสารกลุ่ม Fluranocoumarins น้อยกว่าเกรปฟรุตเกือบครึ่ง แต่หากเรารับประทานส้มโอในปริมาณที่มากกว่าปริมาณเกรปฟรุต (ที่แสดงเป็นตัวอย่างในตาราง) เป็นเท่าตัว โอกาสที่จะเกิดอันตรกิริยาที่รุนแรงก็อาจมีได้ 
มีการวิจัยพบว่า การยับยั้งเอนไซม์ Cytochrome P450 และปริมาณสาร Bergamottin ในเกรปฟรุต สามารถทำได้ 3 วิธี คือ

  1. การฉายรังสียูวี (UV radiation)
  2. การให้ความร้อน (heating juice) และ
  3. การเติมเชื้อราที่กินได้ลงไป (adding edible fungus)

ซึ่งทั้ง 3 วิธีนี้ เหมาะกับอุตสาหกรรมการผลิตน้ำเกรปฟรุต หรือน้ำส้มโอที่อาจเกิดอันตรกิริยาระหว่างยากับน้ำเกรปฟรุตหรือน้ำส้มโอได้เพื่อใช้ในผู้ป่วยเฉพาะราย ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีผลิตภัณฑ์น้ำ เกรปฟรุตที่ทำให้ปลอดสาร Fluranocoumarins จำหน่ายแล้วในต่างประเทศ แต่ราคาค่อนข้างสูง เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตเพิ่มเข้ามาด้วย 
จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา ก็พอสรุปได้ว่า ในกรณีที่ต้องใช้ยาตามรายการที่กล่าวมา ก็อาจต้องระวังการรับประทานส้มโอร่วมกัน โดยไม่ทานเยอะเกินไป หรือหลีกเลี่ยงการรับประทานพร้อมกับยา โดยไม่จำเป็นต้องงดหรือหยุดรับประทานส้มโอไปเลย ชีวิตก็มีความสุขได้เหมือนเดิมคะ


 

แหล่งอ้างอิง/ที่มา
  1. Scora RW. et al. (1982). Contribution to the Origin of the Grapefruit, Citrus paradisi (Rutaceae). Systematic Botany. Vol. 7, No. 2 (Apr. - Jun., 1982), pp. 170-177. Published by: American Society of Plant Taxonomists. Article URL: http://www.jstor.org/stable/2418325
  2. Guo LQ. et al. (2007). Different roles of pummelo furanocoumarin and cytochrome P450 3A5*3 polymorphism in the fate and action of felodipine. Current Drug Metabolism;8(6):623-30
  3. Vaquero MP. et al. (2010). Major diet-drug interactions affecting the kinetic characteristics and hypolipidaemic properties of statins. Nutr. Hosp. [online]; vol.25, n.2, pp. 193-206.
  4. Anlamlert W, Sermsappasuk P, Yokubol D, Jones S. (2015). Pomelo Enhances Cyclosporine Bioavailability in Healthy Male Thai Volunteers. Journal of Clinical Pharmacology: 55(4) 377–383.
  5. Chakthong S. (2012). Bergamottin and Its Role as Inhibitors of CYP3A4. KKU Science Journal: 40(4) 1025-1035.
  6. Mabberley DJ. (1997). A Classification for Edible Citrus (Rutaceae).Telopea 7(2): 167-172.
  7. Bailey DG, Dresser G, Arnold JM. (2013). Grapefruit-medication interactions: forbidden fruit or avoidable consequences?. Canadian Medical Association journal ; 185(4):309-16.
  8. Hermans K, Stockman D, Branden F. (2003). Grapefruit and tonic: a deadly combination in a patient with the long QT syndrome. Am J Med; 114:511–2.
  9. Pillai U, Muzaffar J, Sen S, et al. (2009). Grapefruit juice and verapamil: a toxic cocktail. South Med J; 102:308–9.
  10. Mazokopakis EE. (2008). Unusual causes of rhabdomyolysis. Intern Med; 38:364–7.
  11. Karch AM. (2004). The grapefruit challenge: the juice inhibits a crucial enzyme, with possibly fatal consequences. Am J Nurs ; 104: 33–5.
  12. Dreier JP, Endres M. (2004). Statin-associated rhabdomyolysis triggered by grapefruit consumption. Neurology 2004; 62:670.
  13. Peynaud D, Charpiat B, Vial T, et al. (2007). Tacrolimus severe over-dosage after intake of masked grapefruit in orange marmalade. Eur J Clin Pharmacol; 63:721–2.
  14. Goldbart A, Press J, Sofer S, et al. (2000). Near fatal acute colchicine intoxication in a child. A case report. Eur J Pediatr ; 159:895–7.
  15. Grande LA, Mendez RD, Krug RT, et al. (2009). Attention grapefruit. Lancet; 373:1222.
  16. Uesawa Y and Mohri K. (2006). The use of heat treatment to eliminate drug interactions due to grapefruit juice. Biological and Pharmaceutical Bulletin 29(11): 2274–2278.
  17. Myung K, Narciso JA and Manthey JA. (2008). Removal of furanocoumarins in grapefruit juice by edible fungi. Journal of Agricultural and Food Chemistry 56(24): 12064–12068.


บทความที่ถูกอ่านล่าสุด


การเดินเพื่อสุขภาพ 52 วินาทีที่แล้ว

อ่านบทความทั้งหมด



ข้อจำกัดด้านลิขสิทธิ์บทความ:
บทความในหน้าที่ปรากฎนี้สามารถนำไปทำซ้ำเพื่อเผยแพร่ในเว็บไซต์ หรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ โดยไม่มีวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์ได้ ทั้งนี้การนำไปทำซ้ำนั้นยังคงต้องปรากฎชื่อผู้แต่งบทความ และห้ามตัดต่อหรือเรียบเรียงเนื้อหาในบทความนี้ใหม่โดยเด็ดขาด และกรณีที่ท่านได้นำบทความนี้ไปใช้ในเว็บเพจของท่าน ให้สร้าง Hyperlink เพื่อสร้าง link อ้างอิงบทความนี้มายังหน้านี้ด้วย

-

 ปรับขนาดอักษร 

+

คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

447 ถนนศรีอยุธยา แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400

ดูเบอร์ติดต่อหน่วยงานต่างๆ | ดูข้อมูลการเดินทางและแผนที่

เว็บไซต์นี้ออกแบบและพัฒนาโดย งานเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อการเรียนการสอน คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
Copyright © 2013-2024
 

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เราใช้เทคโนโลยีคุกกี้เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างถูกต้อง การเปิดให้ใช้คุณสมบัติทางโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าเว็บไซต์ของเรา การใช้งานเว็บไซต์ต่อถือว่าคุณยอมรับการใช้งานคุกกี้