Eng |
เภสัชกร วสุ ศุภรัตนสิทธิ ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
การใช้ยารักษาโรคมะเร็งนั้น ขนาดของยาที่ใช้เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากขนาดยาที่เหมาะสมจะอยู่ในช่วงแคบๆ กล่าวคือ เมื่อใช้ในขนาดต่ำเกินไปจะไม่ให้ผลในการรักษา แต่เมื่อใช้ในขนาดสูงเกินไปกลับทำให้เกิดอาการข้างเคียงมากขึ้นและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จึงต้องมีวิธีการคำนวณขนาดยาโดยอ้างอิงตามพื้นที่ผิวร่างกายของผู้ป่วย (body surface area) มากกว่าใช้น้ำหนักตัว (body weight) เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับขนาดยาที่ใช้ได้เหมาะสมมากกว่า
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระดับยาในเลือดของผู้ป่วยไม่เป็นไปตามที่ต้องการคือ การเกิดอันตรกิริยาระหว่างยา (drug-drug interactions) หรือที่เข้าใจกันง่ายๆ ว่า “ยาตีกัน” ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยรับประทานหรือใช้ยาร่วมกันตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม แล้วทำให้ผลการรักษาจากยาตัวใดตัวหนึ่งหรือทั้งหมดดีขึ้นหรือแย่ลงก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วความหมายของอันตรกิริยาระหว่างยานั้นจะให้ความหมายไปในเชิงลบ คือ ไม่ได้ผลในการรักษาจากการใช้ยา หรือเกิดอาการข้างเคียงจากยาเพิ่มมากขึ้นก็ได้
ดังนั้นนอกจากผู้ป่วยจะต้องได้รับยาต้านมะเร็งสม่ำเสมอและเคร่งครัดแล้ว ยังต้องระวังปัญหาการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาด้วยเช่นกัน เนื่องจากยาที่ใช้รักษาอาการที่เป็นร่วมนั้น อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ยาต้านมะเร็งไม่ได้ผลหรือเกิดอาการข้างเคียงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ใช้ยาสำหรับรักษาอาการอื่นๆ เป็นระยะเวลานาน (เกิน 1 สัปดาห์) ดังตัวอย่างต่อไปนี้
กลุ่มยา | ตัวอย่างคู่ยาที่มีผลต่อการรักษา | ผลกระทบที่เกิดขึ้น |
ยาลดกรด (antacids) | แร่ธาตุอลูมิเนียมและแมกนีเซียมในยาลดกรด กับ capecitabine ทำให้ระดับ capecitabine ในกระแสเลือดสูงขึ้น | อาจเกิดพิษจาก capecitabine ได้แก่ โลหิตจาง ติดเชื้อง่าย ท้องเสีย เป็นต้น |
ยาปฏิชีวนะ (antibiotics) | ยากลุ่มเพนิซิลลิน (penicillins) เช่น penicillin G, penicillin V, ampicillin, amoxicillin, cloxacillin และ dicloxacillin กับ methotrexate ทำให้ระยะเวลาที่ methotrexate อยู่ในกระแสเลือดยาวนานขึ้น | อาจเกิดพิษจาก methotrexate ได้แก่ พิษต่อตับ พิษต่อไต เลือดออกง่าย เห็นภาพเบลอ เป็นต้น |
tetracycline, chloramphenicol หรือยาปฏิชีวนะที่สามารถฆ่าเชื้อได้หลายชนิดที่ไม่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย (non-absorbable broad spectrum antibiotics) กับ methotrexate ทำให้ระดับ methotrexate ในกระแสเลือดลดลง | ไม่ได้ผลการรักษาจาก methotrexate | |
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) | warfarin กับ capecitabine | ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดลิ่มเลือดมากกว่าผู้ป่วยที่ได้รับ warfarin เพียงอย่างเดียว |
ยาต้านอาเจียน (anti-emetics) | ondansetron กับ cisplatin หรือ cyclophosphamide ทำให้ระดับ cisplatin หรือ cyclophosphamide ในกระแสเลือดลดลง | ไม่ได้ผลการรักษาจาก cisplatin หรือ cyclophosphamide |
ยาฆ่าเชื้อรากลุ่มเอโซล (azole antifungal agents) | ketoconazole หรือ itraconazole กับ irinotecan ทำให้ระยะเวลาที่ irinotecan อยู่ในกระแสเลือดยาวนานขึ้น | อาจเกิดพิษจาก irinotecan ได้แก่ โลหิตจาง ติดเชื้อง่าย มีแผลแล้วเลือดหยุดไหลช้า พิษต่อตับ ปวดเมื่อย เป็นต้น |
ยาต้าน HIV กลุ่มยับยั้งโปรติเอส (protease inhibitors) | delavirdine หรือ saquinavir กับ paclitaxel ทำให้ระยะเวลาที่ paclitaxel อยู่ในกระแสเลือดยาวนานขึ้น | อาจเกิดพิษจาก paclitaxel ได้แก่ โลหิตจาง ติดเชื้อง่าย พิษต่อตับ คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อย เป็นต้น |
ยาสเตียรอยด์ (corticosteroids) | สเตียรอยด์ กับ aldesleukin ทำให้ฤทธิ์การต้านมะเร็งของ aldesleukin ลดลง | ไม่ได้ผลการรักษาจาก aldesleukin |
สมุนไพรบางชนิด (herbal medicines) | St. John's wort (นิยมใช้คลายกังวล) กับ imatinib หรือ irinotecan ทำให้ระดับ imatinib หรือ irinotecan ในกระแสเลือดลดลง | ไม่ได้ผลการรักษาจาก imatinib หรือ irinotecan |
ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) | ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช้สเตียรอยด์ขัดขวางการขับออกของ methotrexate ที่ไต ทำให้ระยะเวลาที่ methotrexate อยู่ในกระแสเลือดยาวนานขึ้น | อาจเกิดพิษจาก methotrexate ได้แก่ พิษต่อตับ พิษต่อไต เลือดออกง่าย เห็นภาพเบลอ เป็นต้น |
ยากันชัก (anticonvulsants) | carbamazepine, phenobarbital หรือ phenytoin กับ irinotecan ทำให้ระดับ irinotecan ในกระแสเลือดลดลง | ไม่ได้ผลการรักษาจาก irinotecan |
ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างยาบางชนิดที่อาจเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาได้เท่านั้น การใช้ยาให้เกิดประสิทธิผล ในการรักษาและป้องกันอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ หรือเภสัชกร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้ยากับท่านเอง และอย่าลืมว่า “มีปัญหาเรื่องยา ปรึกษาเภสัชกรนะครับ”