Eng |
ผศ.ดร.ภญ. วิลาสินี หิรัญพานิช ซาโตะ ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ภาวะกรดยูริกในเลือดสูงตามคำจำกัดความของแนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาโรคเกาต์ปี พ.ศ. 2555 ในประเทศไทย ระบุว่าภาวะกรดยูริกในเลือดสูงคือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับกรดยูริกในเลือด (serum uric acid, SUA) สูงกว่าปกติ โดยเพศชายมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่า 7 มิลลิกรัมก/เดซิลิตร และเพศหญิงมีระดับกรดยูริกในเลือด สูงกว่า 6 มิลลิกรัมก/เดซิลิตร เมื่ออิงตามคุณสมบัติทางเคมีของกรดยูริกซึ่งจะเกิดการตกผลึกยูเรตในเนื้อเยื่อเมื่อมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่า 6.8 มิลลิกรัมก/เดซิลิตร ที่ 37 องศาเซลเซียส ส่งผลให้เกิดการสะสมของผลึกยูเรตตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย และเกิดกระบวนการอักเสบเกิดขึ้น [1]
ภาพจาก : https://i.ytimg.com/vi/8b5MTYpudsA/maxresdefault.jpg
ผลการวิจัยพบว่าร้อยละ 80-90 ของผู้ป่วยโรคเกาต์มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูง อย่างไรก็ตามไม่ใช่หมายความว่าผู้ที่มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงทุกคนจะเป็นโรคเกาต์ เพราะผู้ที่มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงบางรายอาจไม่แสดงอาการ ปัจจุบันพบว่ามีจำนวนผู้ป่วยเกิดโรคเกาต์สูงขึ้นในแต่ละปี โดยมีความชุกการเกิดโรคเกาต์โดยเฉลี่ยทั่วโลกประมาณร้อยละ 1-4 [2] ขณะที่ในประเทศไทยพบความชุกของการเกิดโรคเกาต์ประมาณ 0.16% ของโรคปวดข้อกระดูกทั้งหมด [3] โดยพบในเพศชายมากกว่าหญิง ในอัตราส่วน 3:1 นอกจากนี้ยังพบความชุกการเกิดโรคเพิ่มขึ้นตามอายุ ในเพศชายอายุมากกว่า 65 ปีพบได้ร้อยละ 7 และเพศหญิงอายุมากกว่า 85 ปีและหญิงวัยหมดประจำเดือนพบได้ร้อยละ 3 [3,4] ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (hyperuricemia) เป็นสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้เกิดโรคเกาต์ของผู้ป่วยโรคเกาต์
สาเหตุส่วนใหญ่ของภาวะกรดยูริกในเลือดสูง เกิดจาก 2 สาเหตุหลักที่สำคัญ คือ การสร้างกรดยูริกเพิ่มมากขึ้นจากปกติและการขับกรดยูริกออกทางไตในปริมาณต่ำกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากความบกพร่องของกลุ่มโปรตีนขนส่งยูเรตหลายๆ ชนิดซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการดูดซึมกลับและการขับออกของยูเรตที่ไต หรือการได้รับยาบางชนิดซึ่งมีผลยับยั้งการขับกรดยูริกออกจากร่างกาย เช่น ยาแอสไพริน ยาขับปัสสาวะบางชนิดเช่น loop diuretics เป็นต้น หรือเกิดจากสาเหตุจากทั้งสองปัจจัยร่วมกัน
ข้อมูลจนถึงปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงมากกว่าร้อยละ 90 เกิดจากความบกพร่องในกระบวนการกำจัดยูเรตออกทางไตเป็นสาเหตุหลัก ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 10 เกิดจากร่างกายสร้างกรดยูริกมากเกินไป [1,6] โดยส่วนมากเกิดจากการสร้างขึ้นในร่างกายเองคิดเป็นร้อยละ 90 และร้อยละ 10 เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูงซึ่งเมื่อรับประทานไปแล้วจะเปลี่ยนไปเป็นกรดยูริกได้ เช่น เครื่องในสัตว์ ปลาดุก กุ้ง ไก่ ชะอม กระถิน อาหารทะเล เนื้อแดง สัตว์ปีก และยีสต์ เป็นต้น
โรคเกาต์ทำให้เกิดอาการปวดอักเสบของข้อและกระดูก การสะสมของยูเรตในข้อทำให้เกิดภาวะกระดูกผิดรูป นอกจากนั้นปัจจุบันพบความสัมพันธ์ของภาวะกรดยูริกในเลือดสูงในโรคเกาต์กับการเกิดกลุ่มโรคเมตาบอลิก (metabolic syndromes) เนื่องจากคาดว่ากรดยูริกมีผลทำให้เกิดกระบวนการสร้างอนุมูลอิสระมากขึ้นมีผลก่อเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวานชนิดที่ 2 และโรคไขมันในเลือดสูง และการสะสมของกรดยูริกยังทำให้เกิดการตกตะกอนที่ท่อไตทำให้เกิดโรคไตในที่สุดอีกด้วย [6]
จริงๆ แล้วการมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงมากๆส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการ เมแทบอลิซึมของการสร้างกรดยูริกในร่างกายหรือความบกพร่องในการขับกรดยูริกที่ไตมากกว่าเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูงที่ได้รับจากภายนอก โดยถึงแม้ว่าผลจากการกินอาหารที่มีสารพิวรีนสูง และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะเบียร์ จะทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้นจากเดิม แต่พบว่ามีผลทำให้ระดับยูริกในเลือดเพิ่มขึ้นเพียงไม่เกินร้อยละ 1-2 มิลลิกรัม เท่านั้น [7] อย่างไรก็ตามการรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูง แม้มิได้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเกาต์ในคนปกติ แต่ก็อาจกระตุ้นให้ข้ออักเสบกำเริบขึ้นได้ในคนที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์อยู่แล้ว ดังนั้นผู้ป่วยยังจึงควรควบคุมปริมาณการรับประทานที่เสี่ยงการการเพิ่มระดับกรดยูริกในร่างกาย [1]
ปัจจุบันมีการวิจัยพบว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และรับประทานอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ใช่น้ำตาลกลูโคส (non-glucose carbohydrate) เช่น น้ำตาลฟรุ๊กโตส, glycerol, sorbitol และ xylitol เป็นต้น ข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันพบว่าการได้รับน้ำตาลฟรุ๊กโตส โดยเฉพาะจากในเครื่องดื่มน้ำผลไม้ (เช่น น้ำส้ม และน้ำแอปเปิ้ล เป็นต้น) ซึ่งมีปริมาณน้ำตาลฟรุ๊กโตสสูงสัมพันธ์กับการเพิ่มความเข้มข้นระดับกรดยูริกในเลือดทั้งในเพศชายและหญิง [8] โดยการเร่งการเปลี่ยน ATP เป็น ADP และเปลี่ยนแปลงต่อได้ AMP ซึ่งสุดท้ายมีผลทำให้ปริมาณสารอินโนสิทอล (inosine) ที่เป็นต้นกำเนิดการสร้างกรดยูริกในร่างกายมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีผลยับยั้งการขับออกของเกลือยูเรตที่ไตอีกด้วย
ตามแนวทางการรักษาโรคเกาต์ฉบับปรับปรุงล่าสุด ปี ค.ศ. 2016 ของสมาคมกลุ่มรักษาโรคข้อกระดูกในยุโรป (European League Against Rheumatism: EULAR) [8] ระบุว่าสิ่งสำคัญควบคู่กับการรักษาโดยการใช้ยาคือการแนะนำให้ผู้ป่วยโรคเกาต์มีความรู้เกี่ยวกับพยาธิสภาพของการเกิดโรคและเพิ่มความตระหนักเรื่องการปฏิบัติตนและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น เพิ่มการออกกำลังกายที่เหมาะสมเป็นประจำ ลดน้ำหนัก หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื้อแดงและอาหารทะเล โดยเน้นรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงและไขมันต่ำ โดยเฉพาะพบว่าการดื่มกาแฟ น้ำเชอรี่ นมขาดไขมัน (skimmed milk) และโยเกิร์ตไขมันต่ำ และกรดไขมันชนิดโอเมก้า 3 (omega-3 fatty acid) ที่มีรายงานว่าช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือดได้
ผลการวิจัยคาดว่าวิตามินซีมีผลในการลดระดับกรดยูริกในเลือดจาก 2 กลไกหลักที่เกี่ยวข้อง [9]
ฤทธิ์ลดระดับกรดยูริกของวิตามินซีนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายการวิจัย ซึ่งพบความสัมพันธ์ระหว่างการรับประทานวิตามินซีขนาด 500 มิลลิกรัม/วัน กับลดความเสี่ยงการเกิดโรคเกาต์ เช่น Huang และคณะ ทำการศึกษาแบบสุ่มและปกปิดสองด้าน เปรียบเทียบผลระหว่างกลุ่มที่ได้รับวิตามินซีกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับยาหลอก ในผู้ป่วยจำนวน 184 คน พบว่าผู้ป่วยโรคเกาต์ที่รับประทานวิตามินซีขนาด 500 มิลลิกรัม/วัน ติดต่อกันนาน 2 เดือนมีผลทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดลดลงประมาณ 0.5 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ขณะที่กลุ่มที่ได้ยาหลอกมีค่าลดลง 0.09 มิลลิกรัม/เดซิลิตร [11] นอกจากนั้นการศึกษาของ Choi และคณะ ประเมินความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่รับประทานวิตามินซีกับอุบัติการณ์การเกิดโรคเกาต์ โดยใช้หลักเกณฑ์ประเมินโรคเกาต์จากแบบสอบถาม พบว่าเพศชายที่รับประทานวิตามินซีขนาด 1,000-1,500 มิลลิกรัม/วัน มีความเสี่ยงการเกิดโรคเกาต์ลดลงร้อยละ 45 เมื่อเปรียบเทียบกับผู้รับประทานวิตามินซีขนาดต่ำกว่า 250 มิลลิกรัม/วัน ที่พบความเสี่ยงการเกิดโรคเกาต์ลดลงร้อยละ 17 [12] นอกจากนั้นจากผลการศึกษาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ (meta-analysis) โดยการสรุปวิเคราะห์ผลจากงานวิจัยแบบสุ่มจำนวน 13 เรื่อง พบว่าการรับประทานวิตามินซีขนาด 500 มิลลิกรัม/วันนาน 30 วัน ให้ระดับกรดยูริกในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ประมาณ 0.35 มิลลิกรัม/เดซิลิตร [13]
อย่างไรก็ตามมีงานวิจัยที่พบผลที่ขัดแย้งกันโดยไม่พบความสัมพันธ์ของการรับประทานวิตามินซีและฤทธิ์ลดกรดยูริกในเลือด เช่น การศึกษาของ Stamp และคณะ [14] ทำการศึกษาในผู้ป่วยโรคเกาต์ที่มีระดับกรดยูริกในเลือดมากกว่า 6 มิลลิกรัม/เดซิลิตร จำนวน 40 คน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ผู้ป่วยที่ยังไม่เคยได้รับการรักษา (20 คน) แล้วจึงแบ่งเป็นกลุ่มย่อย เป็นกลุ่มที่เริ่มรักษาโดยใช้วิตามินซีขนาด 500 มิลลิกรัม/วัน และกลุ่มที่เริ่มรับการรักษาโดยใช้ยาอัลโลพูรินอล (100 มิลลิกรัม/วัน) หรือกลุ่มที่ 2 เป็นผู้ป่วยเคยได้รับการรักษาด้วยยาอัลโลพูรินอล (100 มิลลิกรัม/วัน) อยู่แล้วแต่ยังไม่ได้ผล จึงทำการศึกษาโดยให้แบ่งเป็นกลุ่มที่ได้ยาเดิมต่อไปแต่เพิ่มให้วิตามินซีขนาด 500 มิลลิกรัม/วัน ร่วมด้วย และกลุ่มที่ทำการเพิ่มขนาดยาอัลโลพูรินอล (100 มิลลิกรัม/วัน) ทำการศึกษาติดต่อกันนาน 8 สัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่า ทั้งกลุ่มที่เริ่มต้นรักษาด้วยวิตามินซีหรือให้วิตามินซีเสริมร่วมกับยาอัลโลพูรินอล ให้ผลลดระดับกรดยูริกในเลือดต่ำกว่ากลุ่มที่ได้เริ่มรักษาด้วยยาอัลโลพูรินอลอย่างเดียวหรือเพิ่มขนาดยา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
โดยสรุปแม้ข้อมูลการวิจัยเกี่ยวกับการรับประทานวิตามินซีกับการลดกรดยูริกยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด อย่างไรก็ตามปริมาณที่แนะนำให้รับประทานวิตามินซีต่อวัน (Recommended Dietary Allowance: RDA) ในผู้ใหญ่เพียงขนาด 75-90 มิลลิกรัม เท่านั้น โดยและพบว่าการรับประทานวิตามินซีในสูงมากกว่า 1,000 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งอาจเพิ่มความเป็นกรดในปัสสาวะ และอาจส่งผลลดความความสามารถในการละลายของกรดยูริก และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลึกออกซาเลทที่อาจจับกับแคลเซียมในปัสสาวะซึ่งอาจก่อให้เกิดการตกตะกอนในท่อไตได้ จึงควรหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยที่มีประวัติการเกิดก้อนนิ่วในท่อไต [15,16] ดังนั้นหากจะรับประทานวิตามินซีเพื่อลดระดับกรดยูริกในเลือดควรรับประทานในขนาดต่ำ (จากการศึกษาคือ 500 มิลลิกรัม/วัน) และควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง