อ่านแล้ว 2,871 ครั้ง
ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2555
เมื่อ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้การสนับสนุนโดย กองทุน FTA กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “ยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ : มุมมองจากทฤษฎีการแพทย์ไทยและข้อมูลเอกสารทางวิชาการ” ในโครงการการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยาสมุนไพรไทยเพื่อลดผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าอาเซียน (AFTA) ด้วยสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 1 พฤษภาคม 2555 ณ โรงแรมซิตี้พาร์ค จังหวัดนครราชสีมา โดยได้รับเกียรติจาก นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเปิด และร่วมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “นโยบายสนับสนุนการใช้สมุนไพรของรัฐและแนวทางการขับเคลื่อนในสถานบริการของรัฐ” ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์จาก 18 จังหวัดในภาคอีสาน ซึ่งประกอบไปด้วยแพทย์ พยาบาล เภสัชกร ตลอดจนผู้ปฏิบัติงานทางด้านสาธารณสุขที่เข้าร่วมสัมมนา จำนวนกว่า 150 คน
รองศาสตราจารย์ ดร. สมภพ ประธานธุรารักษ์ รองคณบดี ฝ่ายแผนและพัฒนาคุณภาพ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงความเป็นมาของโครงการนี้ว่า จุดเริ่มต้นจากนโยบายการรวมกลุ่มสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศไปสู่เขตเศรษฐกิจเดียวหรือที่เรียกว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ในปี พ.ศ. 2558 และเปิดเขตเสรีทางการค้าอาเซียนหรือ AFTA (ASEAN Free Trade Area) ซึ่งการรวมกลุ่มในครั้งนี้ทำให้ทุกประเทศต้องเร่งพัฒนาจุดแข็งด้านสินค้าและบริการของตนให้มีคุณภาพมาตรฐานเพื่อสามารถรองรับการแข่งขันในตลาดเสรีได้ สำหรับประเทศไทยนั้น แม้จะอุดมไปด้วยทรัพยากรและภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนไทยสูง แต่ยังขาดการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นรูปธรรม รวมถึงการพัฒนาโรงงานด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตลอดจนผู้ประกอบการที่ยังขาดความเข้าใจในหลักการของการแพทย์และสมุนไพรไทย ส่งผลให้บุคลากรสาธารณสุขและผู้บริโภคไม่เชื่อถือ ทำให้การเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ช้ามาก จึงจำเป็นต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันทางการตลาดในระบบเศรษฐกิจและสังคมใหม่ได้ ประกอบกับที่กองทุน FTA กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้เล็งเห็นความสำคัญดังกล่าว จึงสนับสนุนเงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมยาสมุนไพร
โดยเริ่มดำเนินการระยะที่ 1 ในปี 2552 มีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นที่ปรึกษาหลัก ภายใต้โครงการชื่อ โครงการยุทธศาสตร์การพัฒนาห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยเพื่อลดผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า AFTA ด้วยสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งได้พัฒนากระบวนการผลิตยาจากสมุนไพรมาตรฐานทั้งเดี่ยวและตำรับจำนวน 19 ชนิด และจัดการอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีจากการวิจัยให้แก่บุคลากรของโรงงานอุตสาหกรรมยาสมุนไพรไปแล้วจำนวน 62 คน ทั้งยังจัดการสัมมนาบุคลากรทางการแพทย์ เรื่อง ยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ : มุมมองจากทฤษฎีการแพทย์ไทยและข้อมูลเอกสารทางวิชาการไปแล้ว 419 คน เพื่อให้การดำเนินงานต่อเนื่องและเกิดประโยชน์อย่างจริงจัง ในปี 2554 กองทุน FTA กรมการค้าต่างประเทศ จึงได้สนับสนุนเงินทุนเพื่อช่วยเหลือ เป็นระยะที่ 2 โครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยาสมุนไพรไทยเพื่อลดผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า AFTA ด้วยสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ
ซึ่งในปีนี้คณะเภสัชศาสตร์จัด กิจกรรมเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 เป็นการพัฒนาการผลิตยาสมุนไพรทั้งภาคเอกชนและภาครัฐให้มีขีดความสามารถทางการแข่งขันสูงขึ้นและการพึ่งตนเองทางด้านยารักษาโรค มีผู้ผลิตยาสมุนไพรภาคเอกชนร่วมโครงการ 60 คน และ เภสัชกรและเจ้าหน้าที่ของหน่วยผลิตยาสมุนไพรในโรงพยาบาลรัฐอีก 50 คน กิจกรรมที่ 2 เป็นการศึกษาวิจัยทางคลินิก ตำรับยาครีมไพลสกัด และการวิจัยพัฒนารูปแบบตำรับยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ อีก 8 ตำรับ ส่วนกิจกรรมที่ 3 เป็น การส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรไทยในบัญชียาหลักแห่งชาติ ในทุกภาคส่วนเพื่อการพึ่งตนเองทางด้านยารักษาโรค และปกป้องตลาดยาภายในประเทศ โดยจัดการประชุมวิชาการเพื่อนำเสนอผลงานวิจัยที่สนับสนุนการใช้ของภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำรับยาสมุนไพร เช่น ยาหอมนวโกฐและอินทรจักร ยาแก้ไข้-จันทลีลา และยาแก้ท้องเสีย-ยาเหลืองปิดสมุทร รวมทั้งข้อมูลการศึกษาวิจัยด้านเภสัชวิทยา พิษวิทยา และการศึกษาทางคลินิกของยาจากสมุนไพรที่มีการเผยแพร่อยู่ในเอกสารวิชาการทั้งในและต่างประเทศ พร้อมทั้งจัดทำ “คู่มือการใช้ยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติสำหรับบุคลากรทางการแพทย์” เพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการสัมมนาด้วย
ด้าน นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ กล่าวถึงการที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกในระบบบริการสาธารณสุขทุกระดับ พร้อมทั้งเตรียมขยายการให้บริการด้านการแพทย์แผนไทยเพื่อก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ในปี 2558 กระทรวงสาธารณสุขเองก็ได้ตั้งเป้าหมายการดำเนินงานไว้ ดังนี้ 1) ประชาชนได้รับบริการการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 และเพิ่มเป็นร้อยละ 20 ในปีถัดไป 2) เพิ่มรายการยาสมุนไพรเข้าในบัญชียาหลักแห่งชาติไม่น้อยกว่า 100 รายการ 3) เน้นการพัฒนาศูนย์บริการด้านการแพทย์แผนไทยและมีแพทย์แผนไทยประจำไม่น้อยกว่า 800 แห่ง ภายในปี 2558 และ 4) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทุกแห่งมีบริการแพทย์แผนไทย โดยเน้นการใช้ยาสมุนไพรพื้นฐาน และบริการนวดแผนไทย ซึ่งผลจากการที่ประเทศไทยก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะทำให้การเจรจาทางการค้าที่รวมถึงตลาดยาสมุนไพร, อาหาร และผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น โดยคาดการณ์ว่าในช่วงปีดังกล่าวประเทศไทยจะสามารถดึงการค้าอุตสาหกรรมที่ใช้ยาสมุนไพรเข้าประเทศได้ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท
Photo Gallery