Knowledge Article


ห้องแยกผู้ป่วยและแนวทางการกักตัวที่บ้านเพื่อลดการแพร่เชื้อของผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19


อาจารย์ ดร. ภญ.ผกาทิพย์ รื่นระเริงศักดิ์
ภาควิชาเภสชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ภาพประกอบจาก : https://images.workpointnews.com/workpointnews/2021/07/20203016/1626787807_88624_web-_Home-Isolation.png
23,980 View,
Since 2021-07-27
Last active: 1h ago
https://tinyurl.com/29x9opgh
Scan to read on mobile device
 
A - | A +


โควิด-19 หรือ SARS-CoV-2 เป็นโรคติดต่อในระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (Covid-19) ยังคงเป็นปัญหาทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ และเป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วนของประเทศไทย แม้ว่าจะมีการพัฒนาวัคซีนสำหรับโควิด-19 จากหลายบริษัทที่มีรูปแบบแตกต่างกันไป แต่ก็มีการรายงานการกลายพันธุ์ของไวรัส ซึ่งทำอาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงได้ โดยเชื้อกลายพันธ์ที่เราทราบกันอยู่ในขณะนี้คือ เชื้อโควิดสายพันธุ์อังกฤษหรือสายพันธุ์เคนต์ (B.1.1.7) เชื้อโควิดสายพันธุ์อินเดียหรือสายพันธุ์เดลต้า (B.1.617) เชื้อโควิดสายพันธุ์เบงกอล (B.1.618) และเชื้อโควิดสายพันธุ์แอริการใต้ (B.1.351) เป็นต้น โดยเฉพาะปัญหาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันคือการขาดแคลนเตียงและบริเวณที่เหมาะสมในการแยกผู้ป่วยที่ติดเชื้อออกจากผู้ใกล้ชิดที่ไม่ติดเชื้อ ทำให้เกิดการติดเชื้อภายในครอบครัวที่อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ดังนั้นเราควรเรียนรู้รูปแบบของห้องแยกผู้ป่วยเพื่อสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้ถูกต้อง



ภาพจาก : https://www.thaipbsworld.com/wp-content/uploads/2021/07/home-isolation_web.png

ห้องแยกผู้ป่วย (Isolation room) คืออะไร มีกี่ชนิดและมีประโยชน์อย่างไร

ห้องแยกผู้ป่วยเป็นห้องที่สามารพบเห็นได้ในโรงพยาบาลมีวัตถุประสงค์ในการใช้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของปริมาณของอนุภาคเชื้อโรคในอากาสจากผู้ป่วยสู่ผู้ป่วยคนอื่น หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีหน้าที่ดูแลและรักษาผู้ป่วย นอกจากนี้ห้องแยกผู้ป่วยอาจใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการแยกผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำที่มีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายออกจากผู้ป่วยทั่วไปเพื่อช่วยลดอัตราการติดเชื้อของผู้ป่วยกลุ่มนี้ โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจอาจมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา เช่นเชื้อไข้หวัดสายพันธ์ต่างๆ เชื้ออีโบลา วัณโรค และเชื้อรากลุ่มแอสเปอร์จิลลัส เป็นต้น โดยเชื้อเหล่านี้สามารถแขวนลอยอยู่ในละอองของสารคัดหลั่งจากการไอ และจามของผู้ป่วย (Droplet transmission) หรือมีลักษณะเป็นอนุภาคของเชื้อในอากาศ (Airborne transmission) โดยห้องแยกผู้ป่วยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลักดังนี้
  1. ห้องแยกชนิดแรงดันปกติ (Neutral or standard air pressure room, class S)
  2. ห้องแยกชนิดแรงดันบวก (Positive pressure room, class P)
  3. ห้องแยกชนิดแรงดันลบ (Negative room air pressure, class N) โดยทั่วไปห้องแยกผู้ป่วยมักมีอัตราการแลกเปลี่ยนของอากาศสูงกว่าห้องทั่วไป และต้องสามารถควบคุมอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ให้เหมาะสมจากภายในห้อง และควรตรวจสอบเพื่อไม่ให้มีการรั่วของอากาศที่อาจเกิดขึ้นบริเวณที่เป็นรอยต่อของผนังสังเคราะห์เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
รายละเอียดของห้องแยกผู้ป่วยแต่ละชนิด
  1. ห้องแยกชนิดแรงดันปกติ มีลักษณะเป็นห้องปกติที่มีเครื่องปรับอากาศภายในห้อง ไม่มีความแตกต่างของแรงดันภายในห้องกับด้านนอกห้อง โดยห้องชนิดนี้จะใช้สำหรับแยกผู้ป่วยติดเชื้อที่แพร่กระจายได้ด้วยการสัมผัส (Contact transmission) ห้องชนิดนี้ควรมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำในตัว และมีอ่างล้างมืออีกอันในบริเวณห้องผู้ป่วยเพื่อใช้งานสำหรับบุคคลากรทางการแพทย์ และควรมีประตูที่มีระบบปิดอัตโนมัติ
  2. ห้องแยกชนิดแรงดันบวก เป็นห้องที่มีแรงดันภายในห้องมากกว่าด้านนอกเพื่อป้องกันผู้ป่วยกลุ่มที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อผ่านอากาศภายนอกห้องเข้าสู่อากาศภายในห้อง เช่นเดียวกับห้องแยกผู้ป่วยชนิดแรงดันปกติ ห้องชนิดนี้ควรมีห้องชนิดนี้ควรมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำในตัว แต่ต้องมีอ่างล้างมืออีกอันที่ต้องมีระบบน้ำไหลออกมาเองโดยไม่ต้องใช้มือเปิด-ปิด (Hand free clinical hand wash) ในบริเวณห้องผู้ป่วยเพื่อใช้งานสำหรับบุคคลากรทางการแพทย์ และควรมีประตูที่มีระบบปิดอัตโนมัติ ห้องชนิดนี้จำเป็นต้องมีระบบกรองอากาศมีประสิทธิภาพในการกรองสูงหรือ เฮปป้าฟิลเตอร์ (High efficiency particulate air filter, HEPA) เพื่อทำความสะอาดอากาศที่จะผ่านเข้าสู่ในห้องผู้ป่วย และไม่จำเป็นต้องมีระบบกรอง HEPA สำหรับบำบัดอากาศที่ผ่านออกจากห้อง
  3. ห้องแยกชนิดแรงดันลบ ห้องชนิดนี้เป็นห้องแยกหลักที่ใช้สำหรับแยกผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในโรงพยาบาล ห้องชนิดนี้มีแรงดันภายในห้องน้อยกว่าด้านนอกเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อผ่านอากาศภายในห้องออกสู่อากาศภายนอกห้อง ห้องแรงดันลบ (Negative pressure room) หรือห้องแยกผู้ป่วยติดเชื้อแบบความดันลบ (Negative pressure isolation room) เป็นห้องที่มีการควบคุมปริมาณและการไหลของอากาศโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายของเชื้อโรคในอากาศจากผู้ป่วยสู่บุคคลากรทางการแพทย์ที่ทำการดูแลและรักษาผู้ป่วย ซึ่งอาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าห้องแยกผู้ป่วยติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ (Airborne infection isolation room, AIIR) เช่นเดียวกับห้องแยกผู้ป่วยชนิดแรงดันบวก ห้องชนิดนี้ควรมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำ และมีอ่างล้างมืออีกอันที่มีระบบ Hand free ในบริเวณห้องผู้ป่วยเพื่อใช้งานสำหรับบุคคลากรทางการแพทย์ และควรมีประตูที่มีระบบปิดอัตโนมัติ นอกจากนี้ควรมีระบบควบคุมการไหลของอากาศแบบทางเดียวคือไม่นำกลับมาใช้อีก และแยกจากระบบอากาศหลักของอาคาร มีระบบกรองอากาศมีประสิทธิภาพในการกรองสูงหรือ เฮปป้าฟิลเตอร์ (HEPA) เพื่อทำความสะอาดอากาศอากาศที่จะออกจากห้องผู้ป่วย เพื่อปกป้องชุมชนแวดล้อม โดยหลักการในการควบคุมอากาศในห้องความดันลบนี้สามารถทำได้โดย

    3.1 การจำกัดปริมาณอากาศเข้า-ออก ซึ่งไม่ควรน้อยกว่า 12 -15 รอบการหมุนเวียนของอากาศ ต่อชั่วโมง

    3.2 การรักษาความแตกต่างของความดันระหว่างห้องที่อยู่ติดต่อกัน และบริเวณรอบๆ โดยให้ค่าความดันในห้องผู้ป่วยมีค่าต่ำกว่าห้องที่ติดต่อด้านนอกอย่างน้อย 2.5 Pa (Pascal) เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของอากาศที่ปนเปื้อนเชื้อภายในห้องผู้ป่วยสู่พื้นที่ส่วนนอกและบริเวณโดยรอบ

    3.3 การออกแบบการไหลของอากาศให้เหมาะสมคืออากาศสะอาดที่เข้าไปควรไหลจากบริเวณที่บุคลากรอยู่ไปสู่บริเวณที่ผู้ป่วยอยู่หรือเตียงผู้ป่วย จากนั้นอากาศจะถูกส่งออกจากห้องเพื่อทำการบำบัดโดยการกรองก่อนปล่อยออกสู่ภายนอก

    3.4 การตั้งค่าอุณหภูมิระหว่างในห้องแรงดันลบและด้านนอกควรอยู่ระหว่าง 21-24 องศาเซลเซียส และไม่ควรต่างกันมากว่า 2 องศาเซลเซียส สำหรับการควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศให้อยู่ระหว่าง 30-60%

    3.5 การเจือจางอากาศที่ปนเปื้อนด้วยอากาศสะอาดเพื่อลดความเข้มข้นของเชื้อปนเปื้อนลงก่อนการบำบัดและส่งออกสู่สิ่งแวดล้อม

    3.6 การทำความสะอาดอากาศที่มีเชื้อโดยการกรองที่มีประสิทธิภาพในการกรองสูง (HEPA) ที่สามารถกรองอนุภาคเชื้อที่ปนเปื้อนในอากาศซึ่งมักมีขนาดใหญ่กว่า 0.1 ไมครอน ออกไปได้
การกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) สำหรับผู้ป่วยโควิด

ในสภาวะฉุกเฉินที่มีจำนวนผู้ป่วยมากกว่าจำนวนเตียงในโรงพยาบาลผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องมีการกักตัวที่บ้านเพื่อสังเกตอาการของตัวผู้ป่วยเอง และเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา กรมการแพทย์ได้ออกแนวทางการแยกกักผู้ป่วย COVID-19 ในชุมชนเพื่อให้ผู้ติดเชื้อสามารถใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อในชุมชน ดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจถึงการหลักการสำคัญของการกักตัวที่บ้านดังนี้

1. การกักตัวที่บ้านเหมาะสำหรับผู้ป่วยประเภทไหนบ้าง?

ผู้ป่วยที่เพิ่งตรวจพบว่ามีการติดเชื้อและเป็นผู้ป่วยสีเขียวคือผู้ป่วยที่เพิ่งติดเชื้อแต่เป็นกลุ่มที่ไม่แสดงอาการ มักพบในผู้ที่เป็นเด็ก ผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำและไม่มีโรคประจำตัวที่จัดอยู่ในโรคกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วยที่มีอาการน้อยและยังสามารถหายใจเองได้ อาการโดยรวมของผู้ป่วยกลุ่มนี้คือ มีไข้ เมื่อวัดอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป มีอาการ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ ไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส อาจมีอาการตาแดง มีผื่น ถ่ายเหลว ไม่มีอาการหายใจเร็ว หรือหายใจลำบาก ไม่มีอาการหายใจเหนื่อย ไม่มีอาการปอดอักเสบ

อีกกลุ่มคือผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาล 7-10 วันแล้ว ซึ่งมักเป็นผู้ติดเชื้อที่มีโรคประจำตัวจัดอยู่ในโรคกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่มีภาวะอ้วน หรือมีโรคประจำตัวเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ เมื่อติดเชื้อแล้วรับการรักษาจนผ่านภาวะวิกฤติที่ต้องพึ่งเครื่องช่วยหายใจและกลับเข้าสู่ภาวะหายใจเองได้ ดูแลตัวเองได้ เพียงแต่ยังมีเชื้อในปริมาณน้อยอยู่ในร่างกายและแพทย์วินิจฉัยให้สามารถกลับมากักตัวที่บ้านจนหายเป็นปกติได้โดยอาจมีการรายงานอาการค่าอุณภูมิร่างกายและปริมาณความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด (Oxygen Saturation) ในแต่ละวันให้ทางแพทย์ที่ดูแลทราบอย่างต่อเนื่องจนหายขาด เพื่อให้โอกาสทางการรักษาที่จำเป็นสำหรับนาทีชีวิตแก่ผู้ป่วยภาวะวิกฤติอื่นๆที่ไม่สามารถหายใจได้เอง

2. การกักตัวที่บ้านทำเพื่ออะไร?

เพื่อแยกผู้ติดเชื้อออกจากคนปกติเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อโรคสู่บุคคลอื่นที่อยู่ใกล้ชิด และติดตามอาการของผู้ป่วยเองเพื่อให้ได้รับการรักษาได้ทันการ และเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสทางการรักษาแก่ผู้ที่อยู่ในภาวะวิกฤติเร่งด่วน

3. การเตรียมสถาน และอุปกรณ์ เพื่อทำการกักตัวที่บ้านต้องทำอย่างไร ?

3.1 จัดสถานห้องพัก และอุปกรณ์เครื่องใช้ส่วนตัวแยกต่างหากให้เป็นสัดส่วน เช่นห้องนอน ที่นอน และห้องน้ำแยกจากผู้อื่น และห้องน้ำควรอยู่ภายในห้องพัก โดยอาจประยุกต์ใช้หลักการของห้องแยกชนิดแรงดันปกติ ในสถานการณ์ฉุกเฉินแยกไม่ได้ อาจใช้แผ่นพลาสติกกั้นห้องเพื่อแบ่งสัดส่วนชั่วคราว ควรเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทสะดวก หากแยกห้องน้ำไม่ได้ ให้เรียงลำดับการใช้โดยให้ผู้ติเชื้อใช้เป็นคนสุดท้ายและทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทันทีหลังใช้เสร็จ ทำความสะอาดฆ่าเชื้ออุปกรณ์ภายในบ้านด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหรือน้ำผสมผงซักฟอก น้ำผสมน้ำยาฟอกขาว (โซเดียมไฮโปคลอไรท์, 0.1%) หรือแอลกอฮอล์ 70%

3.2 รักษาอนามัยส่วนบุคคล โดยต้องล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล 70 % (v/v) หรือสบู่ ทุกครั้งก่อนและหลังสัมผัสสิ่งของที่ต้องใช้ร่วมกับคนอื่น และต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา แยกซักเสื้อผ้าเองโดยแช่น้ำยาฆ่าเชื้อก่อนทำการซัก และให้งดการสัมผัสหรือเล่นกับสัตว์เลี้ยงชั่วคราว ควรแยกทานอาหารอยู่ภายในห้องของผู้ป่วยเพียงลำพัง กำหนดจุดรับอาหารให้ชัดเจนเพื่อป้องกันความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อจากการสัมผัสโดยตรง และควรล้างจานให้เสร็จภายในห้องผู้ป่วย และแช่ภาชนะใส่อาหารในน้ำยาฆ่าเชื้อ ก่อนนำมาใช้ใหม่ เมื่อใช้ชักโครก ให้ปิดฝาทุกครั้งก่อนกดชักโครก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ทิ้งขยะในถุงและมัดปากถุงให้แน่นหนาแยกทิ้งบริเวณขยะติดเชื้อ เพื่อนำไปทำการฆ่าเชื้อก่อนนำไปทิ้งรวมกับขยะทั่วไป

3.3 การเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค มักประกอบด้วยสบู่หรือสารลดแรงตึงผิวซึ่งจะช่วยลดจำนวนเชื้อโรคบนพื้นผิว และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อบนพื้นผิว การทำความสะอาดเพียงอย่างเดียวก็สามารถช่วยขจัดไวรัสได้ โดยผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับทำความสะอาด ได้แก่ น้ำสบู่ผงซักฟอกหรือน้ำยาทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับฆ่าเชื้อโรคได่แก่ แอลกอฮอล์ 70% (v/v) หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 0.5% (v/v) เพื่อเช็ดฆ่าเชื้อบนพื้นผิวของอุปกรณ์ต่างๆ และกรณีเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่นพื้นห้องควรทำความสะอาดด้วย โซเดียมไฮโปคลอไรท์ 0.1 % เนื่องจากเชื้อไวรัสสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้เป็นระยะเวลานานตั้งแต่ 2 ชั่วโมง จนถึง 9 วัน ดังนั้นหลักการในการทำลายเชื้อจะต้องใช้ในปริมาณที่สามารถฆ่าเชื้อได้ในเวลาสั้น องค์การอนามัยโลกได้แนะนำสารที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ ภายในระยะเวลา 1 นาที ได้แก่ แอลกอฮอล์ 70% โซเดียมไฮโปคลอไรท์ 0.1% และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 0.5% ตามลักษณะพื้นที่ผิวต่างๆรวมทั้งข้อควรระวังดังนี้



4. การเฝ้าระวังตัวเองขณะทำการกักตัวที่บ้านควรทำอย่างไร ?

ควรใช้เทอร์โมมิเตอร์ตรวจวัดไข้ทุกวัน และสังเกตอาการผิดปกติต่างๆที่อาจเกิดขึ้นซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะผู้ป่วยสีเหลือง คือ มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวกเมื่อทำกิจกรรมต่างๆ หายเร็ว เหนื่อย หรือหายใจลำบาก เหนื่อเมื่อไอ แสดงถึงอาการปอดอับเสบ มีภาวะอ่อนเพลีย เวียนหัว ถ่ายเหลวมากกว่า 3 ครั้งใน 1 วัน ร่วมกับหน้ามืด วิงเวียง

สำหรับผู้ป่วยสีเขียวที่เข้าสู่สีเหลืองควรเฝ้าติดตามและวัดค่าปริมาณความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด ซึ่งสามารถแสดงให้ทราบได้หากอาการเข้าสู่ภาวะผู้ป่วยสีแดง เกิดเมื่อค่าปริมาณความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 96 % โดยอาการที่ชัดเจนของภาวะเชื้อลงปอดคือเกิดภาวะปอดบวมซึ่งทำให้ผู้ป่วยเป็นอาการ หอบเหนื่อย พูดไม่เป็นประโยค แน่นหน้าอกตลอดเวลา และเจ็บหน้าอกขณะหายใจ ตอบสนองช้า ซึ่งหากทำการตรวจ x-ray จะสามารถเห็นความผิดปติของปอดได้ชัดเจน ซึ่งหากพบว่าตัวเองเข้าสู้ภาวะผู้ป่วยสีเหลืองควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้านหรืออาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) หรือแจ้งแพทย์ที่ดูแลท่านอยู่ทันที ในกรณีที่ท่านร่วมโครงการเข้ากักตัวที่บ้านกับโรงพยาบาล เพื่อเข้าสู่ระบบการดูแลตามขั้นตอนต่อไป หากมีข้อสงสัยสามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่สายด่วนควบคุมโรค โทร. 1422 สายด่วนกรมการแพทย์ โทร. 1668 และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน โทร. 1669

5. นานเท่าไหร่ที่ท่านต้องทำการกักตัว ?

เนื่องจากเชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถอยู่ในร่างกายได้นานประมาณ 14-28 วัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการหรือไม่ก็ได้ขึ้นกับความแข็งแรงของร่างกายของผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยบางรายอาจไม่แสดงอาการเลย หรือมีอาการน้อย และเมื่ออาการจะยังพบปริมาณเชื้ออยู่ในสารคัดหลั่ง น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยประมาณ 14 วัน ภายหลังวันที่เริ่มป่วย ซึ่งทำให้มีความจำเป็นต้องแยกตัวเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อสู่ผู้อื่นโดยทำการกักตัวเป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน และควรทำการตรวจปริมาณเชื้อในเลือดเพื่อยืนยันว่า ไม่มีปริมาณเชื้อในร่างกายแล้วเพื่อแสดงว่าหายขาดจากอาการติดเชื้อ

6. ท่านควรปฏิบัติตนอย่างไรเมื่อเริ่มกักตัวที่บ้าน

6.1 หมั่นล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่างกับ ญาติและผู้อยู่อาศัยร่วมบ้าน ต้องใช้เวลาที่ผ่านไปให้มีความหมาย ทำจิตใจให้เข้มแข็ง

6.2 ควรติดตามข่าวไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน และควรรับข้อมูลข่าวสารจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือ

6.3 ควรหมั่นออกกำลังกาย โดยยืดเหยียด เดินในพื้นที่ๆ สามารถเคลื่อนไหว และมีระยะห่างจากผู้อื่น

6.4 วางแผนสิ่งที่อยากทำคร่าว ๆ ใน 14 วัน เพื่อให้มีเป้าหมายว่าจะอะไรบ้างเพื่อเป็นการผ่อนคลาย และเตรียมอุปกรณ์ ให้พร้อม เช่น ดูหนังวันละ 2 เรื่อง หรือการฟังเพลง เป็นต้น

6.5 ควรดูแลจิตใจตนเอง ผ่อนคลายความเครียด หายใจ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ฝึกสติ (โปรแกรมออนไลน์) เช่นหลักสูตรออนไลน์การดูแลจิตใจในวิกฤต COVID-19 สามารถดาวน์โหลดได้จาก https://dmh.go.th/ covid19/audio/ ฝึกจิตให้สงบเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเผชิญปัญหาและมีผลดีต่อการภูมิคุ้มกันโรค

6.6 มีสติรู้เท่าทันสิ่งที่สร้างความเครียดให้กับตนเอง หมั่นสำรวจตนเองถึงการเปลี่ยนแปลงหรือความ ผิดปกติทางอารมณ์และทางร่างกายที่เป็นอาการแสดงถึงความเครียด เช่น หงุดหงิดง่ายขึ้น เศร้าหมอง วิตกกังวลมากขึ้น

6.7 หากมีความกังวลสามารถตรวจสอบประเมินใจตนเองด้วย mental health check in อย่างน้อย 1 ครั้งต่ออาทิตย์ ถ้าพบว่าตัวเองยังไม่สบายใจมากขึ้น นอนไม่หลับ คิดท้อแท้หรือเศร้ามากขึ้น สามารถปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 หรือผ่านไลน์ @1323forthai ในการส่งต่อเพื่อให้การช่วยเหลือเบื้องต้น

เอกสารอ้างอิง
  1. International Health Facility Guidelines. (2017). Isolation Rooms. Available form: http://healthfacilityguidelines.com/ViewPDF/ViewIndexPDF/iHFG_part_d_isolation_rooms. [Accessed 2021 July 16]
  2. CDC. (2003). Guidelines for Environmental Infection Control in Health-Care Facilities. Available form:https://www.cdc.gov/infectioncontrol/guidelines/environmental/background/air.html. [Accessed 2021 July 16]
  3. กรมการแพทย์ แนวทางการแยกกักผู้ป่วย COVID-19 ในชุมชน (Community Isolation) ฉบับวันที่ 24 กรกฎาคม 2564 Available form: https://covid19.dms.go.th/backend/Content/Content_File/ Covid_Health/Attach/25640724160026PM_community%20isolation_v2n%2024072021_.pdf [Accessed 2021 July 25]
  4. กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขโปรแกรม mental health check in. Available form: www.checkin. dmh.go.th [Accessed 2021 July 25]
  5. กรมสุขภาพจิต หลักสูตรออนไลน์การดูแลจิตใจช่วงวิกฤตโควิด-19. Available form: https://dmh.go.th/ covid19/audio/ [Accessed 2021 July 25]
Others articles

บทความที่เนื้อหาเกี่ยวข้องกับบทความนี้

Public Knowledge Articles



View all articles
-->

-

 ปรับขนาดอักษร 

+

Faculty of Pharmacy, Mahidol University.

447 Sri-Ayuthaya Road, Rajathevi, Bangkok 10400, THAILAND
Designed & Developed by Department of Information Technology, Faculty of Pharmacy, Mahidol University.
Copyright © 2013-2020
 

We use Cookies

This site uses cookies to personalise your experience and analyse site traffic. By Clicking ACCEPT or continuing to browse the site you are agreeing to our use of cookies.