ปัจจุบันการหาซื้อยาแก้ปวดหรือยาแก้อักเสบมาใช้เพื่อบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น ปวดฟัน ปวดประจำเดือน ปวดศีรษะไมเกรน ปวดกระดูก ปวดข้อหรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ทำได้ง่ายดายและสะดวกมาก แต่ผู้อ่านทราบหรือไม่ว่ายาแก้ปวดแก้อักเสบมีหลายประเภท และยาเหล่านี้ยังมีข้อควรระวัง และอาการไม่พึงประสงค์ ที่แตกต่างกัน บทความนี้จึงนำเสนอข้อมูลของยากลุ่มที่เรียกว่า “ยาบรรเทาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์” ซึ่งเป็นหนึ่งในยาที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังในผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด เรามาดูกันว่ายากลุ่มนี้มีผลเสีย ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างไร และผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงควรปฏิบัติตัวอย่างไรหากต้องใช้ยาเหล่านี้
ยาบรรเทาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์สามารถเรียกย่อ ๆ ว่า “เอ็นเสด (NSAIDs)” ซึ่งมีชื่อเต็ม คือ “non-steroidal anti-inflammatory drugs” ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ ที่เรียกว่า “ไซ-โคล-ออก-ซี-จิ-เนส (cyclooxygenase) หรือ ค็อกซ์ (COX)” ซึ่งมี 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดที่ 1 (หรือ COX-1) และชนิดที่ 2 (หรือ COX-2) โดยเมื่อยายับยั้งการทำงานของเอนไซม์ดังกล่าว จะส่งผลลดการสร้างสารก่อการอักเสบและความปวด ทำให้การอักเสบลดลงและหายปวดได้[1,2]
ยากลุ่มนี้แบ่งตามความสามารถในการยับยั้ง COX แต่ละชนิด[2] ดังแสดงในตารางที่ 1 ซึ่งช่วยทำให้ทำนายอาการไม่พึงประสงค์ต่อหัวใจและหลอดเลือดของยาแต่ละชนิดได้
ตารางที่ 1 การแบ่งกลุ่มยา NSAIDs ตามความสามารถในการยับยั้ง COX แต่ละชนิด[2]
กลุ่มที่ยับยั้งเอนไซม์ COX แบบไม่จำเพาะเจาะจง |
กลุ่มที่ยับยั้งเอนไซม์ COX-2 ได้ดีกว่า COX-1 |
กลุ่มที่ยับยั้งเอนไซม์ COX-2 มากที่สุด |
แอสไพริน (aspirin) |
เอโทโดแล็ก (etodolac) |
เซเลค็อกสิบ (celecoxib) |
ไดโคลฟีแน็ก (diclofenac) |
เมล็อกซิแคม (meloxicam) |
เอทอริค็อกสิบ (etoricoxib) |
เฟอร์บิโพรเฟน (flurbiprofen) |
นิเมซูไลด์ (nimesulide) |
พาเรค็อกสิบ (parecoxib) |
ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) |
|
|
อินโดเมทาซิน (indomethacin) |
|
|
คีโทโพรเฟน (ketoprofen) |
|
|
เมเฟนามิกแอซิด (mefenamic acid) |
|
|
นาบูมีโทน (nabumetone) |
|
|
นาพร็อกเซน (naproxen) |
|
|
ไพร็อกซิแคม (piroxicam) |
|
|
ซูลินแด็ก (sulindac) |
|
|
เทน็อกซิแคม (tenoxicam) |
|
|
ผลต่อหัวใจและหลอดเลือดที่อาจเกิดจากการรับประทานยากลุ่ม NSAIDs มีรายละเอียดดังนี้
ผลต่อการทำงานของไตและโรคความดันโลหิตสูง (hypertension)[3,4]
ยากลุ่ม NSAIDs ส่งผลให้หลอดเลือดในร่างกายหดตัวโดยเฉพาะหลอดเลือดที่ไต ทำให้การทำงานของไตลดลง ซึ่งอาจทำให้เกิดไตวายเฉียบพลันได้ในผู้ป่วยบางราย (พบประมาณร้อยละ 4)[5] รวมถึงยังมีผลลดการขับออกของ โซเดียมและน้ำจนเกิดการคั่งของน้ำในร่างกาย ทำให้มีความดันโลหิตสูงขึ้น 5-6 มิลลิเมตรปรอท หลังจาก รับประทานยาติดต่อกันเป็นระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์[6] และส่วนใหญ่ความดันโลหิตจะกลับมาเป็นปกติ ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากหยุดยา
ผลต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด (thrombosis)[2]
ยา NSAIDs ที่สามารถยับยั้งเอนไซม์ COX-2 ได้มากอาจทำให้เกล็ดเลือดเกาะกลุ่มกันได้ง่ายขึ้น เพิ่ม ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดมากกว่ายาที่ยับยั้งเอนไซม์ COX-1 ได้ดี ซึ่งอาจส่งผลต่อ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ ภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นในหลอดเลือดปอด ภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ภาวะหลอดเลือดสมองตีบตัน ภาวะอุดตันของหลอดเลือดแดงส่วนปลาย และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย โดย NSAIDs แต่ละชนิดเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดังกล่าวได้แตกต่างกัน เช่น ผู้ป่วยที่รับประทานยา NSAIDs ที่สามารถยับยั้งเอนไซม์ COX-2 ได้มาก ตั้งแต่ 4 วันขึ้นไปต่อเดือน เป็นระยะเวลา 5 ปี พบว่ามีความเสี่ยงของการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำมากกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้ยา 2 เท่า ส่วนผู้ที่ใช้ยา NSAIDs กลุ่มที่ยับยั้งเอนไซม์ COX แบบไม่จำเพาะเจาะจง จะมีความเสี่ยงของการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ในหลอดเลือดดำมากกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้ยา 1.3 เท่า[7] นอกจากนี้เมื่อพิจารณาเฉพาะการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย พบว่าผู้ที่ใช้ยา NSAIDs ที่สามารถยับยั้งเอนไซม์ COX-2 ได้มาก จะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ที่ใช้ยา NSAIDs ในกลุ่มที่ยับยั้งเอนไซม์ COX แบบไม่จำเพาะเจาะจงประมาณ 1.5 เท่า[8]
ผลต่อโรคหัวใจล้มเหลว (heart failure)
ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันสามารถเกิดได้จากผลของยา NSAIDs ที่ทำให้เกิดการคั่งของน้ำ อีกทั้ง ความดันโลหิตที่สูงขึ้นส่งผลให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น หรือเกิดจากผลของยา NSAIDs ที่ทำให้มีลิ่มเลือดหรือ เกิดก้อนเลือดอุดตันบริเวณกล้ามเนื้อหัวใจซึ่งอาจทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจนถึงกล้ามเนื้อตายได้ ดังนั้น สาเหตุที่กล่าวมานี้สามารถทำให้ผู้ป่วยเกิดโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้ นอกจากนั้นการเกิดภาวะไตวาย เฉียบพลัน ความดันโลหิตสูง และภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดยังสามารถเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ผู้ป่วย หัวใจล้มเหลวเรื้อรังมีอาการแย่ลงและเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้ ซึ่งพบว่ายา NSAIDs เป็นสาเหตุกระตุ้น การกำเริบของภาวะหัวใจล้มเหลวประมาณร้อยละ 32[9]
ข้อมูลต่อไปนี้เป็นเพียงคำแนะนำเบื้องต้นทั่วไป ผู้ป่วยแต่ละรายล้วนมีสภาวะเฉพาะตัวซึ่งทำให้เหมาะหรือไม่เหมาะสมในการใช้ยาแตกต่างกันไป จึงควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนใช้ยาเหล่านี้
- ยา NSAIDs ชนิดทาภายนอก สามารถใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างปลอดภัย เนื่องจากเป็นยาใช้เฉพาะที่จึงดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้น้อย และไม่ทำให้เกิดผลที่ได้กล่าวไปข้างต้น
- แนะนำให้ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงหลีกเลี่ยงการใช้ยา NSAIDs และหากจำเป็นต้องใช้ แนะนำให้รับประทานยาขนาดต่ำที่สุดที่สามารถบรรเทาอาการปวดและอักเสบได้ และไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 1-2 สัปดาห์ พร้อมทั้งวัดติดตามความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่ารับประทานยาแล้วมีความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าปกติ ควรหยุดยาแล้วรีบไปพบแพทย์
- เมื่อรับประทานยา NSAIDs แนะนำดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปที่ไต ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดไตวายเฉียบพลันได้ ทั้งนี้หากผู้ป่วยมีโรคร่วมที่ต้องจำกัดปริมาณน้ำในแต่ละวันควรจำกัดน้ำตามคำแนะนำของแพทย์
- ผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวเรื้อรังควรหลีกเลี่ยงการใช้ยา NSAIDs เนื่องจากยาอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้
- ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันมันในเลือดสูง หรือมีโรคหัวใจและหลอดเลือดอื่น ๆ อยู่ก่อน เป็นต้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่ม NSAIDs ชนิดที่มีความสามารถในการยับยั้งเอนไซม์ COX-2 ได้มาก เช่น เซเลค็อกสิบ เอทอริค็อกสิบ พาเรค็อกสิบ เป็นต้น
- หากผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดจำเป็นต้องใช้ยากลุ่ม NSAIDs แนะนำให้ใช้ยานาพร็อกเซนในขนาดต่ำที่สุดและใช้เป็นระยะเวลาสั้นที่สุด เนื่องจากมีการศึกษาแสดงให้เห็นว่ามีความปลอดภัยในผู้ป่วยกลุ่มนี้มากกว่ายา NSAIDs ชนิดอื่น[10]
ผู้อ่านคงเห็นแล้วว่า “ยาบรรเทาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์” ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันนั้น มีทั้งประโยชน์และโทษ โดยเฉพาะหากใช้ยาไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ ที่รุนแรงได้ อย่างไรก็ตามข้อมูลเหล่านี้เพียงช่วยให้ผู้ป่วยได้ตระหนัก แต่ไม่ควรตระหนกมากเกินไปเกี่ยวกับยากลุ่มนี้ สิ่งสำคัญที่สุด คือ ก่อนใช้ยากลุ่ม NSAIDs ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อให้ได้รับคำแนะนำทั้งเกี่ยวกับการใช้ยาและการปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม