ในปัจจุบันนี้ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรในรูปแบบยาเม็ดได้รับความนิยมมาก เนื่องจากมีความคงสภาพที่ดีทั้งทางกายภาพและเคมี และสะดวกในการรับประทาน มากกว่ายาสมุนไพรในรูปแบบอื่น อีกทั้งได้รับส่วนแบ่งตลาดมากกว่ายาสมุนไพรรูปแบบอื่นๆ เช่นกัน
สูตรตำรับของผงยาหรือแกรนูลยาสมุนไพรที่สามารถตอกอัดเป็นเม็ดได้นั้น จำเป็นต้องพัฒนาตำรับมีคุณสมบัติที่สำคัญ 2 ประการ คือ ความสามารถในการไหลที่ดี เพื่อให้แต่ยาเม็ดแต่ละเม็ดมีขนาดรับประทานที่สม่ำเสมอ และความสามารถตอกอัดเป็นยาเม็ดได้ดี รวมทั้งพัฒนาให้มีคุณสมบัติทางกายภาพอื่นๆ เพื่อให้ได้ยาเม็ดที่มีคุณสมบัติที่ดี ได้แก่ ยาเม็ดมีลักษณะภายนอกที่สวยงามจากการตรวจดูด้วยตาเปล่า มีความสม่ำเสมอความหนายาเม็ด มีความแข็งมากพอสมควรเพื่อไม่ให้แตกหัก มีความกร่อนที่ค่อนข้างต่ำเพื่อมีให้ยาเม็ดร่วนเป็นผงในระหว่างเดินทางหรือขนส่ง มีความชื้นที่ค่อนข้างต่ำเพื่อไม่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ รวมทั้งการพัฒนาตำรับให้มีความคงสภาพที่ดีทางเคมีและกายภาพ
การตรวจดูด้วยตาเปล่า (Visual Inspection) International Pharmacopoeia
1 (IP) ได้กำหนดการตรวจสอบด้วยตาเปล่าสำหรับยาเม็ดว่า เปิดภาชนะ สุ่มตัวอย่างมาตรวจสอบอย่างน้อย 20 เม็ด จะต้องไม่มีเม็ดใดชำรุดเสียหาย ทุกเม็ดจะต้องมีผิวเรียบและมีสีที่สม่ำเสมอ
มีหลักฐานความคงสภาพทางกายภาพว่า ไม่มีเศษผง เศษยาเม็ดที่ก้นภาชนะ ยาเม็ดจะต้องไม่แตกร้าว แยกฝา หรือบิ่นที่ผิวยาเม็ดหรือผิวเคลือบ บวม ด่างสี สีจาง หรือมีการเชื่อมติดระหว่างเม็ด ไม่มีผลึกที่ผนังภาชนะ หรือบนผิวยาเม็ด สามารถแตกตัวในทางเดินอาหารได้เร็ว เมื่อรับประทานยาเข้าไป
ความแปรปรวนของน้ำหนักยาเม็ด (Weight Variation) ในหัวข้อ Dietary Supplements ของ USP
2 ได้กำหนดมาตรฐานของความแปรน้ำหนักยาเม็ดไว้ว่า ให้สุ่มตัวอย่างยาในแต่ละครั้งผลิต (batch) มา 20 เม็ด ชั่งน้ำหนักทีละ 1 เม็ด และคำนวณหาน้ำหนักเฉลี่ย กำหนดเกณฑ์ไว้ว่า จะต้องมีน้ำหนักเม็ดยาไม่เกิน 2 เม็ด ที่มีความเบี่ยงเบนมากกว่าจำนวนร้อยละที่กำหนดไว้ และต้องไม่มีเม็ดใดเลยที่มีความเบี่ยงเบนมากกว่า 2 เท่าของจำนวนร้อยละที่กำหนดในตารางที่ 1 จากน้ำหนักเฉลี่ย
จากตารางแสดงให้เห็นว่า เภสัชตำรับยอมให้ยาเม็ดที่น้ำหนักน้อยมีค่าเบี่ยงเบนน้ำหนักมากว่ายาเม็ดที่น้ำหนักมาก และยอมให้เพียง 2 เม็ดที่ค่าเบี่ยงเบนเกิน 10, 7.5 และ 10% ตามลำดับ แต่ไม่ยอมให้เม็ดใดเลยที่น้ำหนักเกิน 20, 15 และ 10% ตามลำดับ
ความหนายาเม็ด (Tablet Thickness) ความหนาของยาเม็ดขึ้นกับน้ำหนักของยาเม็ด แรงตอก และความหนาแน่นของผงยาก่อนตอกยาเม็ด การควบคุมให้ยาเม็ดมีน้ำหนักสม่ำเสมอขึ้นกับการไหลที่ดีของผงยาก่อนตอกยาเม็ด จะทำให้ยาเม็ดมีความหนาสม่ำเสมอ แต่ละครั้งผลิตอาจสุ่มตัวอย่างมา 10 เม็ด วัดความหนายาเม็ดด้วยเครื่องวัดความหนายาเม็ด (thickness gauge) ดังแสดงในรูปที่ 2 หาค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที่ได้เป็น มม. (mm)
ความแข็งยาเม็ด (Tablet Hardness) ไม่มีข้อกำหนดความแข็งยาเม็ดในเภสัชตำรับ โรงงานจะใช้ข้อกำหนดนี้ควบคุมมาตรฐานของยาเม็ดอันหนึ่งเพื่อให้ยาเม็ดไม่หักบิ่นระหว่างกระบวนการผลิตและการขนส่ง โดยทั่วไปกำหนดให้ยาเม็ดมีความแข็งประมาณ 4-6 กิโลกรัม หรือมากกว่าตามความเหมาะสม เช่น ช่วงความแข็ง 6-8 กก. สำหรับยาเม็ดหญ้าปักกิ่ง แต่ละครั้งผลิตอาจสุ่มตัวอย่างมา 10 เม็ด วัดความแข็งด้วยเครื่องวัดความแข็งยาเม็ด ได้แก่ Stokes-Monsanto hardness tester ดังแสดงในรูปที่ 3
ความกร่อนยาเม็ด (Tablet Friability) ในระหว่างขนส่งยาเม็ดอาจมีโอกาสกระแทกกันเองหรือกระแทกกับผนังภาชนะบรรจุ ทำให้ยาเม็ดกร่อน แตกเสียหาย ตำรับยาเม็ดจะต้องให้ยาเม็ดที่มีความกร่อนต่ำเพื่อต้านทานความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง ควรยึดตามเกณฑ์ USP
2 ที่กำหนดให้ยาเม็ดไม่เคลือบให้มีความกร่อนได้ไม่เกิน 1 % โดยไม่มีเม็ดใดแตกเสียหาย วิธีการคือหากน้ำหนักยาเม็ดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 650 มก. ชั่งมาให้ได้น้ำหนักรวมของเม็ดยาเท่ากับ 6.5 กรัม หากน้ำหนักเม็ดยามากกว่า 650 มก. ให้นำมาทดสอบจำนวน 10 เม็ด ปัดฝุ่นที่ติดเม็ดยาออกให้หมด นำไปใส่เครื่องวัดความกร่อน (Friabilator, Roche Model) โดยเปิดเครื่องหมุนทั้งสิ้น 100 รอบ เป็นเวลา 4 นาที นำเม็ดยาออกจากเครื่อง ปัดฝุ่นออกให้หมด แล้วนำไปชั่งอีกครั้ง ร้อยละความกร่อนคำนวณได้จาก
เวลาในการแตกตัวของยาเม็ด (Disintegration Time) เมื่อรับประทานยาเข้าไปยาเม็ดจะเกิดการแตกตัว ซึ่งการแตกตัวของยาเม็ดจะเร็วหรือช้าขึ้นกับคุณสมบัติและปริมาณตัวยาต่างๆ เช่น สารช่วยแตกตัว สารช่วยยึดเกาะที่ใช้ในตำรับ เมื่อยาเม็ดแตกตัวแล้วตัวยาสำคัญจะละลายและถูกดูดซึมได้ จะเห็นได้ว่าทั้งการแตกตัวนั้นมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพในการรักษาระดับหนึ่งของผลิตภัณฑ์ยาเม็ด ในเภสัชตำรับได้กำหนดมาตรฐานการแตกตัว ซึ่งสรุปสั้นๆ ได้ดังต่อไปนี้
USP
2 ได้กำหนดเครื่องทดสอบการแตกตัวดังรูปที่ 5 ซึ่งดูรายละเอียดได้จากบทความเรื่อง “การละลายและการแตกตัวของยาเม็ด เหมือนหรือต่างกัน” ที่อาจารย์ ดร. ภญ วารี ลิมป์วิกานต์
3 ได้เขียนไว้ จับเวลา และดูว่าเมื่อครบเวลา ยาเม็ดทั้ง 6 เม็ดแตกตัวหมดหรือไม่ ถ้าไม่มีเหลือบนตะแกรงเลยถือว่ายานั้นผ่านการทดสอบ โดยทั่วไปยาเม็ดไม่เคลือบใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที ยาเม็ดเคลือบฟิล์มใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง ยาเม็ดฟองฟู่ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ส่วนยาเม็ดออกฤทธิ์นานที่อมใต้ลิ้น อมภายในอุ้งปาก ไม่ต้องทดสอบการแตกตัวของยาเม็ด เพราะต้องการให้ยาออกฤทธิ์นาน ยาเม็ดเคี้ยวก็ไม่ต้องทดสอบการแตกตัวเช่นเดียวกัน
ความชื้นที่หายไปเมื่ออบแห้ง (Loss on Drying, LOD) เป็นข้อกำหนดในการควบคุมปริมาณความชื้น โดยหาน้ำหนักที่สูญหายไป หลังจากการอบแห้งในตู้อบ ในสภาวะอุณหภูมิ และเวลาที่กำหนด ให้สำหรับยาสำเร็จรูป เช่น ยาเม็ด ยาแคปซูล ยาผง เป็นต้น
จากประสบการณ์ ควรควบคุมความชื้นของยาเม็ดสมุนไพรไม่ให้เกิน 3.5% เพื่อทำให้ตอกยาเม็ดไม่ติดขัด มีความแข็งพอเหมาะ และไม่ส่งเสริมการเติบโตของจุลินทรีย์
การทดสอบความคงสภาพของยาเม็ดสมุนไพร
การทดสอบแบบเร่ง
ก. อุณหภูมิ 40 + 2oC และความชื้นสัมพัทธ์ 75 + 5% RH เป็นเวลานาน 6 เดือน
ข. อุณหภูมิ 45 + 2oC และความชื้นสัมพัทธ์ 75 + 5% RH เป็นเวลานาน 4 เดือน
การทดสอบระยะยาว
ก. อุณหภูมิ 25 + 2oC และความชื้นสัมพัทธ์ 60 + 5 % RH
ข. อุณหภูมิ 30 + 2oC และความชื้นสัมพัทธ์ 75 + 5 % RH (ประเทศไทย)
อาจทำการทดสอบคุณสมบัติยาเม็ดดังต่อไปนี้ ได้แก่ ลักษณะภายนอก การตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ทางเคมี ปริมาณสารสำคัญหรือสารเทียบ การแปรปรวนของน้ำหนักยาเม็ด เวลาในการแตกตัว เป็นต้นว่ายังมีความคงสภาพที่ดีคุณสมบัติทางกายภาพ และทางเคมีที่ดีเป็นที่ยอมรับได้
เอกสารอ้างอิง
- The International Pharmacopoeia. 3rd. Volume 5. Tests and general requirements for dosage forms: Quality specifications for pharmaceutical substances and tablets. Geneva: World Health Organization; 2003.
- The United States Pharmacopeia 35 / The National Formulary 30. Rockville, MD: The United States Pharmacopeial Convention; 2012.
- วารี ลิมป์วิกรานต์. การละลายและการแตกตัวของยาเม็ด เหมือนหรือต่างกัน. ภาควิชาเภสัชอุตสาหกรรม คณะเภสัชศาสตร์
https://pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=138 - แนวทางการทดสอบความคงสภาพของยาและผลิตภัณฑ์ยา. นนทบุรี: สำนักยา, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา, กระทรวงสาธารณสุข; 2547.