นิยามทั่วไปของอาการท้องผูก คือ การที่มีอุจจาระแข็ง ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ต้องเบ่งมากกว่าปกติ รู้สึกถ่ายไม่สุด มีความรู้สึกว่าถ่ายไม่ออกเหมือนมีสิ่งอุดกั้นที่ทวารหนัก ต้องใช้นิ้วมือช่วยในการถ่ายอุจจาระ รวมทั้งมีอุจจาระนิ่มเมื่อใช้ยาระบายช่วยเท่านั้น[1] ผู้ที่ท้องผูกมักมีอาการเหล่านี้อย่างน้อย 2 ข้อ หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วง 1-2 สัปดาห์ จัดเป็นท้องผูกแบบเฉียบพลัน ในขณะที่ท้องผูกแบบเรื้อรังจะต้องมีอาการติดต่อกันมากกว่า 3 เดือน[2] โดยทั่วไปหากมีอาการท้องผูกไม่รุนแรง เช่น ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ถ่ายไม่ลำบาก หรืออุจจาระแข็งแต่ยังมีความชุ่มชื้นอยู่บ้าง อาจรักษาโดยเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนอาหาร ดื่มน้ำเพิ่มขึ้น ปรับท่านั่งถ่ายอุจจาระ เป็นต้น แต่หากมีอาการท้องผูกที่รุนแรง เช่น ถ่ายอุจจาระออกน้อยมากหรือไม่ออกเลย อุจจาระแข็งไม่ชุ่มชื้น หรืออาการที่เกิดขึ้นรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน จะต้องทำการรักษาโดยการใช้ยาระบาย[2]
ยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระ (bulk-forming laxatives) มีคุณสมบัติคล้ายใยอาหาร (ไฟเบอร์) ที่ไม่ถูกย่อยในทางเดินอาหาร เช่น ไฟเบอร์จากเมล็ดเทียนเกล็ดหอย (psyllium husk) หรือเมทิลเซลลูโลส (methylcellulose) ยาระบายชนิดนี้เมื่อถูกน้ำจะพองตัวและอุ้มน้ำไว้ในลำไล้ ทำให้อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนนิ่มขึ้นและเพิ่มปริมาณอุจจาระ ซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น[3]
ยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระเหมาะกับผู้ที่มีความสามารถในการเบ่งถ่ายได้เอง ร่วมกับมีอุจจาระออกน้อยหรือออกเป็นก้อนเล็กแข็ง และไม่ต้องการเร่งถ่ายโดยทันที[2] โดยสามารถใช้ได้ในกลุ่มต่อไปนี้
ขนาดยาแนะนำมีความแตกต่างกันในแต่ละผลิตภัณฑ์ ควรตรวจสอบฉลากยาก่อนใช้และโดยทั่วไปให้เริ่มใช้ยาในขนาดที่ต่ำของคำแนะนำก่อน ข้อมูลต่อไปนี้เป็นขนาดยาโดยทั่วไป[4,5]
- เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป และผู้ใหญ่: 2.5-30 กรัมต่อวัน แบ่งรับประทาน 1-3 ครั้งต่อวัน
- เด็กอายุ 6-11 ปี: 1.5-15 กรัมต่อวัน แบ่งรับประทาน 1-3 ครั้งต่อวัน
- เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี: ไม่แนะนำ
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร: เท่ากับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป และผู้ใหญ่
2. เมทิลเซลลูโลสในรูปแบบยาผง
- เด็กอายุ 6-11 ปี: ครั้งละ 1 กรัม ไม่เกินวันละ 3 ครั้ง
- เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป และผู้ใหญ่: ครั้งละ 2 กรัม ไม่เกินวันละ 3 ครั้ง
- เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี: ไม่แนะนำ
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร: เท่ากับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป และผู้ใหญ่
ยากลุ่มนี้ส่วนใหญ่อยู่ในรูปยาผง ก่อนรับประทานให้ละลายผงยาในน้ำเย็น (สำหรับไฟเบอร์จากเมล็ดเทียนเกล็ดหอยและเมทิลเซลลูโลส) หรือน้ำผลไม้ (สำหรับไฟเบอร์จากเมล็ดเทียนเกล็ดหอย) อย่างน้อย 1 แก้ว (240 มิลลิลิตร) คนให้ละลายเข้ากันดี[4] จากนั้นดื่มให้หมดแก้วโดยทันทีและต้องดื่มน้ำตามอีกอย่างน้อย 1 แก้ว รวมถึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอในระหว่างวันขณะที่มีการรับประทานยากลุ่มดังกล่าวประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน (2-2.4 ลิตร) เนื่องจากหากดื่มน้ำไม่เพียงพออาจทำให้ยาอุดตันในลำไส้ ส่งผลให้อุจจาระแข็งและถ่ายยากมากขึ้น[6]
ยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระไม่ได้ออกฤทธิ์ในทันที โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลประมาณ 2-3 วันหลังรับประทานยา[3]
เนื่องจากยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระอาจถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียภายในลำไส้แล้วเกิดเป็นแก๊ส ส่งผลให้มีอาการท้องอืดหรือปวดท้องได้ อาการไม่พึงประสงค์นี้ที่พบได้ทั่วไปหลังเริ่มใช้ยาในช่วงแรก และต่อมามักมีอาการดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามยาอาจทำให้เกิดอาการแพ้ทางผิวหนัง เช่น ผื่นแดง คัน รวมทั้งเกิดอาการจมูกอักเสบหรือเยื่อบุตาอักเสบได้ ซึ่งหากมีอาการแพ้ในลักษณะดังกล่าวให้หยุดยาและปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร[4]
ยังมียาระบายในกลุ่มอื่น ๆ ได้แก่ ยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้ (osmotic laxatives) เช่น โพลีเอทิลีนไกลคอล (polyethylene glycol หรือ PEG) แล็กทูโลส (lactulose) ที่สามารถใช้ได้ในเด็กอายุน้อยกว่า 6 ปี[7] ยาระบายชนิดกระตุ้นการทำงานของลำไส้ (stimulant laxatives) เช่น มะขามแขก (senna) บิซาโคดิล (bisacodyl) และยาระบายชนิดทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม (stool softeners) เช่น ด็อกคิวเสต (docusate sodium) โดยการจะเลือกใช้ยาในกลุ่มใด ต้องพิจารณาจากความสามารถในการเบ่งถ่าย ลักษณะอุจจาระ และข้อจำกัดต่าง ๆ ของผู้ป่วยร่วมด้วย เช่น โรคประจำตัว ระยะเวลาที่ต้องการเร่งถ่าย รวมถึงข้อห้ามใช้ของยาระบายแต่ละชนิด จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเสมอก่อนใช้ยาระบายเหล่านี้[2]
อาการท้องผูกพบได้บ่อย รักษาได้ทั้งการใช้ยาและไม่ใช้ยา กรณีใช้ยาในการรักษา ยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ใช้ในการบรรเทาอาการในผู้ที่มีความสามารถในการเบ่งถ่ายได้เองและไม่ต้องการเร่งถ่ายโดยทันที รวมถึงเป็นผู้ที่ไม่มีข้อห้ามใช้ ซึ่งยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระค่อนข้างปลอดภัยหากรับประทานตามคำแนะนำ โดยเฉพาะการดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันการอุดตันของลำไส้ อย่างไรก็ตามการใช้ยาเป็นระยะเวลาติดต่อกันมากกว่า 1 สัปดาห์ ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำและดูแลของแพทย์