Knowledge Article


มะเร็ง ... นวัตกรรมใหม่ในการรักษาและวินิจฉัยที่ได้ผลเฉียบกว่าเดิม


อาจารย์ ดร. ผกาทิพย์ รื่นระเริงศักดิ์
ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ภาพประกอบจาก : http://www.editiontruth.com/wp-content/uploads/2017/11/Head-and-Neck-Cancer-Therapeutics-Market.jpg
14,608 View,
Since 2018-03-04
Last active: 2h ago
https://tinyurl.com/2yxdzdqt
Scan to read on mobile device
 
A - | A +


สถานการณ์มะเร็งในประเทศไทย

โรคมะเร็งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับสองของประชากรโลก คิดเป็น 13% จากสาเหตุทั้งหมดของการเสียชีวิตของคนทั่วโลก โดยแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งประมาณ 7,600,000 รายทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยนั้น โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 จนถึงปัจจุบัน โดยมะเร็งที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิต 5 อันดับแรก ในเพศชายได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลําไส้ใหญ่ มะเร็งช่องปากและคอหอย และมะเร็งเม็ดเลือดขาว ตามลำดับ ส่วนในเพศหญิงได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งลําไส้ใหญ่ ตามลำดับ



ภาพจาก : http://www.nanotechetc.com/wp-content/uploads/2017/03/Best-Applications-Of-Nanotechnology-500x200.jpg

ปัจจัยเสี่ยง และการป้องกัน
  1. ปัจจัยเสี่ยงจากพฤติกรรมส่วนตัวหรือไลฟ์สไตล์ (Life style) ซี่งอาจทำให้เกิดมะเร็ง ได้แก่ การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล เช่น ไม่รับประทานผัก ผลไม้ การรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของพยาธิใบไม้และสารอะฟลาท็อกซิน ภาวะอ้วน การขาดการออกกำลังกาย และการชอบอาบแดด เป็นต้น
  2. ปัจจัยเสี่ยงทางชีววิทยา เช่น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือ ซี (Hepatitis B หรือ Hepatitis C) การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori ในทางเดินอาหาร และการติดเชื้อ Human papillomavirus (HPV) ที่ปากมดลูก นอกจากนี้ผลการศึกษาวิจัยพบว่าผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่มากกว่าผู้ที่ไม่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง
การป้องกันการเกิดมะเร็งนั้นสามารถทำได้ โดยการลดพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าวข้างต้น และการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก (HPV vaccine) และมะเร็งตับ (Hepatitis B vaccine)

การรักษามะเร็งและปัญหาการดื้อยา

ขั้นตอนในการรักษาโรคมะเร็งในประเทศไทยที่ผ่านมาส่วนใหญ่มักเริ่มจากการตรวจคัดกรอง ตามด้วยการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาระยะของโรคและวางแนวทางในการรักษาได้แก่ การผ่าตัดเพื่อตัดเอาเนื้องอกออกมา (ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นมะเร็งที่เกิดในระยะเริ่มแรก มีจำนวนเนื้องอกน้อย) การให้เคมีบำบัดหรือที่เรียกกันสั้นๆว่าให้คีโม (Chemotherapy) และการฉายแสง (Radiotherapy) ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ได้รับเคมีบำบัดและการฉายแสงนั้น มีรายงานผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจาการใช้ยาเคมีบำบัดและการฉายแสง เช่น ผมร่วง คลื่นใส้ อาเจียน เบื่ออาหาร จนถึงอาการรุนแรงที่อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ทั้งนี้เนื่องจากตัวยาเคมีบำบัดไม่มีความจำเพาะเจาะจง (Non-selective) ต่อเซลล์มะเร็ง ทำให้มีตัวยาบางส่วนไปออกฤทธ์กับเซลล์ปกติด้วยซึ่งทำให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆ ดังกล่าว จากการศึกษาวิจัยทางพันธุศาสตร์ของมะเร็ง (Cancer genetic) ทำให้เราสามารถเข้าใจได้ว่าทำไม ผลการรักษาผู้ป่วยที่มีเพศเดียวกันและเป็นมะเร็งในระยะเดียวกัน มีอายุใกล้เคียงกัน จึงไม่เหมือนกัน รายหนึ่งอาจสามารถหายขาดได้ แต่อีกรายหนึ่งการรักษาแบบเดียวกันอาจไม่ได้ผลเลย เนื่องจากมะเร็งนั้นประกอบไปด้วยเซลล์มะเร็งที่หลากหลาย (Cancer heterogeneity) ประชากรเซลล์มะเร็งส่วนใหญ่อาจมีความไวต่อยาเคมีบำบัด แต่ประชากรเซลล์บางส่วนมีคุณสมบัติที่ทนทานต่อยาเคมีบำบัดได้ โดยสามารถกำจัดยาเคมีบำบัดออกมาจากเซลล์ได้เอง ส่งผลให้เกิดการดื้อยาเคมีบำบัด ดังนั้นการตรวจร่างกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอเพื่อสังเกตความความผิดปกติของร่างกายจะช่วยให้สามารถตรวจและวินิจฉัยโรคมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกที่ยังไม่พบการเปลี่ยนแปลง หรือมีการพัฒนาของเซลล์จนทำให้เกิดภาวะดื้อยา ทำให้มีโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้สูง

นวัตกรรมนาโนเทอรานอสติก (Nanotheranostics)

เทอรานอสติก (Theranostics) เกิดจากการรวมกันของคำภาษาอังกฤษ สองคำคือ Therapeutics (การรักษา) และ Diagnostics (การตรวจวินิจฉัย) ดังนั้น “Theranositcs” หรือ “Theragnostics” เป็นนวัตกรรมการรักษามะเร็งในรูปแบบใหม่ที่สามารถทำการรักษามะเร็งพร้อมกับการตรวจวินิจฉัย ดังนั้นทันทีที่มีการตรวจพบเซลล์มะเร็ง เซลล์มะเร็งที่ถูกตรวจพบจะถูกทำลายด้วยยาเคมีบำบัด หรือ พลังงานความร้อนได้ในทันที การรักษาด้วยวิธีนี้สามารถลดทรัพยากร ระยะเวลา บุคคลากรทางการแพทย์ และขั้นตอนในการรักษา และยังช่วยลดอาการข้างเคียงของการใช้เคมีบำบัดและการฉายแสงได้ จากการศึกษาวิจัยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การนำนาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology) เข้ามาประยุกต์ใช้กับระบบ Theranositcs ทำให้นักวิจัยสามารถออกแบบระบบที่เรียกว่า “Nanotheranositcs” ที่มีความจำเพาะเจาะจงเพิ่มขึ้น (Selective) ต่อเซลล์มะเร็งได้

Nanotheranositcs อาจเป็นแนวความคิดที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต และเพิ่มความหวังให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็ง แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนานวัตกรรมนี้ยังคงต้องการข้อมูลความปลอดภัยของการเลือกใช้อนุภาคนาโนแต่ละชนิดในระยะยาว ข้อมูลของการเกิดการเปลี่ยนแปลงของ Nanotheranositcs ระหว่างการรักษาและหลังจากการรักษา และข้อมูลการย่อยสลาย หรือการกำจัด nanotheranositcs ภายหลังการรักษา รวมถึงข้อมูลจากการทดลองใช้ทางคลินิกเพื่อที่จะได้สามารถกำหนดขอบเขตของการใช้งานในมะเร็งแต่ละชนิดได้อย่างปลอดภัยและถูกต้องเหมาะสม ในปัจจุบันมี Nanotheranositcs ที่อยู่ในขั้นตอนการทดสอบทางคลินิกในระยะสุดท้าย (Clinical trial phase) และในบางประเทศมีการอนุมัติให้ใช้ทางคลินิกเพื่อช่วยเพิ่มความละเอียดและความคมชัดของภาพถ่ายซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการวินิจฉัยได้เป็นอย่างดี

นาโนเทอรานอสติกกับการให้ยาเฉพาะบุคคล (Nanotheranostics for personalised medicine)

การออกแบบยาที่ผ่านมานั้นใช้แนวความคิดแบบ “One fits all” หรือ “ยาเม็ดเดียวรักษาได้ทุกคน” ซึ่งสามารถใช้ได้ดีกับการรักษาอาการที่ไม่ซับซ้อน แต่ไม่สามารถใช้อธิบายการรักษาโรคมะเร็งได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลายของเซลล์มะเร็งในผู้ป่วยแต่ละรายนั้นมีความแตกต่างกัน ความแตกต่างนี้มีอิทธิพลอย่างมากจนทำให้การรักษาด้วยยาชนิดเดียวกันไม่สามารถรักษาผู้ป่วยทุกคนให้ได้ผลลัพธ์เดียวกันหรือใกล้เคียงกันได้อีกต่อไป จึงมีแนวความคิดของการรักษาผู้ป่วยเฉพาะรายโดยคำนึงถึงอาการ ความผิดปกติ และสภาวะของผู้ป่วยแต่ละคนเป็นหลัก หรือ “Personalised medicine” โดยเริ่มจากการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง การที่นักวิจัยสามารถปรับเปลี่ยนองค์ประกอบทางเคมี และทางชีวะโมเลกุลของระบบ Nanothernostics เพื่อให้เกิดการนำส่งยาไปที่เซลล์มะเร็งที่เป็นเป้าหมายได้นั้น นับว่าเป็นคุณลักษณะที่ดีและเหมาะสมกับแนวคิด Personalised medicine เป็นอย่างมาก จึงมีการพัฒนา Nanotheranostics ขึ้นเพื่อเป็นระบบต้นแบบในการรักษามะเร็ง ปัจจุบันมีความสนใจในการวิจัยและพัฒนา Nanotheranostics เพื่อประยุกต์ใช้กับมะเร็งแต่ละชนิด เนื่องจาก Nanothranostics สามารถผนวกขั้นตอนการวินิจฉัยและการรักษาเข้าด้วยกันในครั้งเดียวตามที่กล่าวไปแล้ว ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาในการรักษามะเร็งได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ Nanotheranostics ยังสามารถใช้ในการศึกษาเภสัชจลนศาสตร์ได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับยา เพราะอาศัยเทคนิคการถ่ายภาพตามเวลาจริงหลังจากให้ยา การใช้ Nanocarriers ที่มีคุณสมบัติเป็น Image contrast agents ได้ด้วยนั้นจะทำให้สามารถถ่ายภาพด้วยเครื่องมือสองชนิดในเวลาเดียวกันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการวินิจฉัยโรคได้ เมื่อประมวลผลการตรวจองค์รวมจะทำให้ได้ผลลัพธ์ของการรักษาที่รวดเร็วและแม่นยำ รวมถึงยังสามารถให้ข้อมูลของการกระจายตัวของยาในเนื้องอก และประเมินประสิทธิภาพของตัวยาสำคัญที่ผู้ป่วยได้รับอย่างรวดเร็วอีกด้วย

ระบบ Nanotheranostics อาจจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ดีในทางคลินิกสำหรับการวินิจฉัยความผิดปกติของผู้ป่วยมะเร็งระยะเริ่มต้นและทำการรักษาได้ทันท่วงที รวมถึงสามารถประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์การตอบสนองของยาในผู้ป่วยแต่ละกลุ่มได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถคัดกรองกลุ่มผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อยาแต่ละชนิด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้ และหากนำระบบนี้มาประยุกต์ใช้กับโรคชนิดอื่นๆที่มีความซับซ้อน เช่น เบาหวาน ความผิดปกติในระบบภูมิคุ้มกัน และความผิดปกติในระบบหัวใจและหลอดเลือด อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการวินิจฉัยและการรักษาได้ดียิ่งขึ้น

เอกสารอ้างอิง
  1. คณะกรรมการ จัดทําแผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (2556) แผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติ (พ.ศ. 2556 - 2560). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด. Available form: http://www.nci.go.th/th/file_ download/d_index/nccp_2556-2560.pdf [Accessed 2018 Feb 15]
  2. Jo, S.D., Ku, S. H., Won, Y., Kim, S. H. and Kwon, I. C. (2016) Targeted nanotheranostics for future personalized medicine: recent progress in cancer therapy. Theranostics. 6(9): 1362-1377.
  3. Harris-Birtill, D., Singh, M., Zhou, Y., Shah, A., Ruenraroengsak, P., Gallina, M.E., Hanna, G.B., Cass, A.E.G., Porter, A.E., Bamber, J. and Elson, D. S. (2017) Gold nanorod reshaping in vitro and in vivo using a continuous wave laser. PLoS ONE, 12: 1932-6203.
Others articles

บทความที่เนื้อหาเกี่ยวข้องกับบทความนี้

Public Knowledge Articles



View all articles
-->

-

 ปรับขนาดอักษร 

+

Faculty of Pharmacy, Mahidol University.

447 Sri-Ayuthaya Road, Rajathevi, Bangkok 10400, THAILAND
Designed & Developed by Department of Information Technology, Faculty of Pharmacy, Mahidol University.
Copyright © 2013-2020
 

We use Cookies

This site uses cookies to personalise your experience and analyse site traffic. By Clicking ACCEPT or continuing to browse the site you are agreeing to our use of cookies.