Knowledge Article


ไตวายระยะสุดท้าย ... การรักษาแบบประคับประคอง


ภญ. ศยามล สุขขา
ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ภาพประกอบจาก : http://www.petwave.com/~/media/Images/Center/Health/Cat/Renal-Failure/Kidney-image.ashx
223,034 View,
Since 2017-10-18
Last active: 2h ago
https://tinyurl.com/yj7lun6z
Scan to read on mobile device
 
A - | A +


โรคไตเรื้อรังเป็นกลุ่มโรคที่ไม่ติดต่อ (non-communicable disease) โรคหนึ่งที่มีความสำคัญ และมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขในปี 2558 พบว่าคนไทยป่วยด้วยโรคไตเรื้อรังร้อยละ 17.6 ของประชากร หรือประมาณ 8 ล้านคน1 เมื่อการทำงานของไตลดลงจนกระทั่งอัตราการกรองของไต (estimated glomerular filtration rate; eGFR) น้อยกว่า 15 มิลลิลิตรต่อนาทีต่อ 1.73 ตารางเมตร จะจัดว่าเป็นไตวายระยะสุดท้าย (end stage renal disease; ESRD) ผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการบำบัดทดแทนไต (renal replacement therapy; RRT) ได้แก่ การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (hemodialysis) การล้างไตทางหน้าท้อง (peritoneal dialysis) หรือการผ่าตัดปลูกถ่ายไต (kidney transplantation)



ภาพจาก : http://venturaclinicaltrials.com/wp-content/uploads/2016/06/3-1212201AH5207.jpg

แม้ว่าการบำบัดทดแทนไตจะทำให้ผู้ป่วยเสมือนมีไตทำงานได้ใกล้เคียงคนปกติ โดยสามารถทำหน้าที่ของไตในการกำจัดของเสีย ควบคุมสมดุลน้ำและอิเล็กโทรไลต์ รวมถึงการสร้างฮอร์โมนต่างๆ อย่างไรก็ตามการบำบัดทดแทนไตในแต่ละวิธีล้วนมีข้อจำกัด เช่นการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่สัมพันธ์กับการบำบัดทดแทนไต ผู้ป่วยบางรายมีความดันโลหิตต่ำลงหรือเกิดอาการในระบบหัวใจและหลอดเลือดจากการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ผู้ป่วยบางรายเกิดภาวะติดเชื้อจากการล้างไตทางหน้าท้อง รวมทั้งการบำบัดทดแทนไตอาจรบกวนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย รวมถึงญาติผู้ดูแล เช่นในกรณีที่ผู้ป่วยต้องเดินทางมาโรงพยาบาลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งเพื่อทำการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ในปัจจุบันการรักษาแบบประคับประคองจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย ซึ่งคล้ายกับการรักษาโรคที่มีความรุนแรงที่คาดว่าผู้ป่วยมีระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่ (life expectancy) ที่ไม่นานเช่นในผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะรุนแรง ผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวระยะสุดท้าย โรคปอดระยะรุนแรง เป็นต้น

หลักการของการรักษาแบบประคับประคอง2

การรักษาแบบประคับประคอง (palliative care หรือ palliative medicine) คือการดูแลผู้ป่วยที่มีความเจ็บป่วยในระยะรุนแรง โดยเป้าหมายของการรักษาคือการบรรเทาอาการเจ็บป่วยจากโรค และการช่วยเหลือผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี การให้การรักษาแบบประคับประคองจะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างทีมสหสาขาวิชาชีพเช่น แพทย์ เภสัชกร พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ นักโภชนาการ เป็นต้น การรักษาแบบประคับประคองนี้จะเป็นการตัดสินใจและการวางเป้าหมายร่วมกันระหว่างผู้ป่วย ญาติ และบุคลากรทางการแพทย์ผู้ทำการรักษา

การรักษาอาการที่พบได้บ่อยจากการรักษาแบบประคับประคองในผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย3

อาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายนั้นมีสาเหตุเกิดจากการรุดหน้าของโรคไตเอง หรือเกิดจากโรคร่วมของผู้ป่วย โดยจากการศึกษาในผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่ได้รับการรักษาแบบประคับประคองพบว่ากลุ่มอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ อาการปวด (pain) อาการเมื่อยล้า (fatigue) ปัญหาการนอน (sleep disturbances) อาการคัน (pruritus) ภาวะเบื่ออาหาร (anorexia) เป็นต้น

อาการปวด (pain)3

อาการปวดเป็นอาการที่สำคัญและพบได้บ่อยในผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย โดยพบประมาณร้อยละ 53 ในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแบบประคับประคอง อาการปวดในผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายอาจเกิดจากความผิดปกติทางเมทาบอลิสมในระบบกระดูก ภาวะแคลเซียมเกาะหลอดเลือดชนิด calciphylaxis และจากโรคร่วมบางชนิด เช่นในผู้ป่วยเบาหวานที่มีอาการปวดเส้นประสาท (peripheral neuropathy) หรืออาการปวดที่เกิดจากกล้ามเนื้อ เช่นในผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม (osteoarthritis) ที่มักพบในผู้สูงอายุ เป็นต้น

การรักษาอาการปวดในการรักษาแบบประคับประคองมีหลักการเหมือนกับการรักษาอาการปวดในผู้ป่วยทั่วไป โดยยาบางตัวควรหลีกเลี่ยงเนื่องจากอาการไม่พึงประสงค์ที่เป็นอันตรายในผู้ป่วยโรคไต หรือยาบางตัวต้องปรับขนาดยาตามการทำงานของไตที่เหลืออยู่ การเลือกยาในการรักษาอาการปวดแพทย์จะพิจารณาจากลักษณะอาการปวด ความรุนแรงของอาการปวด การตอบสนองต่อการรักษา รวมทั้งการรักษาโรคร่วมอื่นๆ ที่ส่งผลให้เกิดอาการปวดร่วมด้วย

อาการเมื่อยล้า (fatigue)3

อาการเมื่อยล้าพบได้ประมาณร้อยละ 80 ในผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย สาเหตุของอาการเมื่อยล้านั้นอาจมาจากภาวะซึมเศร้า อาการนอนไม่หลับ ภาวะทุพโภชนาการ ภาวะโลหิตจาง และอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากยา สำหรับการรักษาอาการเมื่อยล้าที่มีรายงานได้แก่ การใช้ยาฮอร์โมนอีริโทรโพอิติน (erythropoietin) ในการรักษาภาวะโลหิตจางในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังซึ่งพบว่าสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิต และลดอาการเมื่อยล้าได้ในผู้ป่วยบางราย การให้ยาต้านเศร้าในผู้ป่วยที่เกิดอาการเมื่อยล้าจากสาเหตุภาวะซึมเศร้า นอกจากนี้การรักษาแบบไม่ใช้ยาที่แนะนำในผู้ป่วยที่มีอาการเมื่อยล้า ได้แก่ การออกกำลังกายในผู้ป่วยที่สามารถกระทำได้ การแก้ไขภาวะทุพโภชนาการ เป็นต้น

ปัญหาการนอน (sleep disturbances)3

ปัญหาจากการนอนในผู้ป่วยที่ได้การรักษาแบบประคับประคองพบรายงานร้อยละ 41 ในผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย โดยสาเหตุนั้นอาจเกิดจากอาการปวด หรือมาจากปัญหาด้านการนอนของผู้ป่วยเอง การประเมินภาวะแทรกซ้อนจากการนอนถือเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาเช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) กลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข (restless leg syndrome) เป็นต้น คำแนะนำอื่นๆ ในการรักษาปัญหาเรื่องการนอน ได้แก่การแนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อเพิ่มสุขอนามัยของการนอนหลับ รวมถึงแพทย์อาจพิจารณายานอนหลับในผู้ป่วยบางราย

อาการคัน (pruritus)3

อาการคันพบได้ประมาณร้อยละ 60 ในผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย โดยปัจจัยที่เป็นสาเหตุของอาการคันได้แก่ภาวะพาราไทรอยด์ในเลือดสูงแบบทุติยภูมิ (secondary hyperparathyroidism) ภาวะฟอสเฟตในเลือดสูง การตกผลึกของแคลเซียมฟอสเฟตที่ผิวหนัง อาการผิวแห้ง และภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ดังนั้นการรักษาอาการคันแพทย์จะพิจารณาการรักษาตามสาเหตุดังกล่าว เช่น การให้วิตามินดีในการรักษาพาราไทรอยด์ในเลือดสูงแบบทุติยภูมิ การให้ยาจับฟอสเฟตในการรักษาภาวะฟอสเฟตในเลือดสูง การให้สารเพิ่มความชุ่มชื้น (emollient) ในผู้ป่วยที่มีผิวแห้ง รวมถึงการให้ธาตุเหล็ก และฮอร์โมนอีริโทรโพอิตินในการรักษาภาวะโลหิตจาง เป็นต้น

ภาวะเบื่ออาหาร (anorexia)3

ภาวะเบื่ออาหารเป็นหนึ่งในอาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย โดยสาเหตุอาจเกิดจากภาวะยูรีเมีย (uremia) หรือเกิดจากความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารเช่น ความผิดปกติในการรับรส หรือเกิดจากภาวะกระเพาะอาหารทำงานลดลง (gastroparesis) เป็นต้น ในผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียนเป็นอาการเด่นอาจรักษาด้วยยาต้านอาเจียน (antiemetics) อีกสาเหตุหนึ่งของภาวะเบื่ออาหารได้แก่ อาการปากแห้ง ซึ่งอาจเป็นอาการข้างเคียงจากยาบางประเภท เช่นยากลุ่ม tricyclic antidepressants การรักษาอื่นๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ในภาวะเบื่ออาหารเช่น น้ำลายเทียม รวมทั้งแพทย์อาจพิจารณาให้ยาเพิ่มความอยากอาหารในผู้ป่วยบางราย

สรุป

การรักษาแบบประคับประคองในผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายมีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาอาการที่เกิดจากภาวะไตวายเรื้อรัง และการเพิ่มคุณภาพชีวิตสอดคล้องกับความต้องการของผู้ป่วย และญาติผู้ดูแล การรักษาอาการที่เกิดขึ้นในการรักษาแบบประคับประคองนี้สามารถทำได้ทั้งการใช้ยาและไม่ใช้ยา ความเข้าใจต่อเป้าหมายของการรักษาเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลรักษาผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว

เอกสารอ้างอิง
  1. ข่าวประชาสัมพันธ์. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) [อินเตอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 2 ตุลาคม 2560]. เข้าถึงได้จาก: https://www.nhso.go.th/frontend/NewsInformationDetail.aspx?newsid=OTU4
  2. Bemben NM and McPherson ML. Palliative care. In: Dipiro JT, Talbert RL, Yee Gc, Matzke GR, Wells BG and Posey LM, editors. Pharmacotherapy: A Pathophysiologic Approach, 10th edition. New York, NY: McGraw-Hill; 2017.
  3. Raghavan D, Holley JL. Conservative care of the elderly CKD patient: a practical guide. Adv Chronic Kidney Dis. 2016;23(1):51-6.

Public Knowledge Articles



View all articles
-->

-

 ปรับขนาดอักษร 

+

Faculty of Pharmacy, Mahidol University.

447 Sri-Ayuthaya Road, Rajathevi, Bangkok 10400, THAILAND
Designed & Developed by Department of Information Technology, Faculty of Pharmacy, Mahidol University.
Copyright © 2013-2020
 

We use Cookies

This site uses cookies to personalise your experience and analyse site traffic. By Clicking ACCEPT or continuing to browse the site you are agreeing to our use of cookies.