บ้าน เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่มีความสำคัญกับการดำรงชีวิต ทุกคนอยากมีบ้านที่สวย น่าอยู่ และร่มรื่น ไม้ประดับที่สวยมีส่วนที่ทำให้บ้านน่าดู และสวยงามไม่เพียงแต่บ้าน ไม้ประดับที่มีดอกสีสวยงาม หรือมีรูปร่าง ทรงต้น และใบที่สวยงามสามารถจะนำไปประดับในสำนักงาน สนามเด็กเล่น หรือสวนสาธารณะ แต่ใครจะคิดว่าไม้ประดับที่สวยงามนั้นมีหลายชนิดที่มีพิษตั้งแต่ก่อเกิดพิษเล็ก ๆ น้อย ๆ จนถึงกับทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งความเป็นพิษจะขึ้นกับปริมาณที่สัมผัสหรือรับประทานเข้าไป และความทนทานต่อสารพิษของแต่ละบุคคล ซึ่งเด็กจะมีโอกาสเกิดพิษได้มากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก นอกจากนี้ขนาดของสารพิษที่ก่อให้เกิดความเป็นพิษในเด็กก็มีค่าต่ำกว่าในผู้ใหญ่ สาเหตุความเป็นพิษที่เกิดขึ้นในเด็ก เนื่องจากไม้ประดับมีดอก และผลสีสวยดึงดูดใจให้ลิ้มลอง ส่วนในผู้ใหญ่มักเกิดจากการรับประทานหรือสัมผัสกับพืชที่ไม่รู้จักชื่อ หรือความเข้าใจผิดเนื่องจากพืชบางชนิดมีหลายชื่อ ชื่อพ้อง หรือการใช้สมุนไพรที่ไม่ถูกวิธีหรือเกินขนาดที่ควร ฉะนั้นพวกเราทุกคนควรจะต้องเรียนรู้ และศึกษาอย่างถ่องแท้ถึงชนิดและลักษณะของไม้ประดับมีพิษ สารสำคัญที่เป็นพิษ วิธีการป้องกันและรักษาขั้นเบื้องต้น เพื่อจะช่วยป้องกันการเกิดความเสียหาย และการสูญเสียที่จะเกิดขึ้น
ไม้ประดับที่อาจจะก่อให้เกิดพิษได้ ได้แก่
1. พืชวงศ์ Agavaceae:
เป็นพืชที่มีใบและทรงต้นที่สวย นำมาปลูกในสวนกันอย่างแพร่หลาย ส่วนใบมีสารแคลเซียมออกซาเลท ซึ่งจะทำให้ปากและลำคอเกิดการระคายเคืองได้ ถ้ารับประทานเข้าไป นอกจากนี้ขอบใบจะมีหนามแหลมถ้าสัมผัสถูกจะเป็นอันตรายต่อผิวหนังได้
ตัวอย่างพืชได้แก่ ป่านศรนารายณ์ (
Agave americana L.), พระรามแผลงศร (
A. americana L. var.
marginata)
2. พืชวงศ์ Amaryllidaceae:
พืชวงศ์นี้มีสารพิษกลุ่มแอลคาลอยด์ เช่น lycorine, crinamine, criridine, narciclasine เป็นต้น พบได้ในส่วนหัวของพืช สารพิษเหล่านี้ถ้ารับประทานเข้าไปจะออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง และมีผลระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
ตัวอย่างพืชได้แก่ พลับพลึงดอกแดง (
Crinum amabile), พลับพลึงดอกขาว (
C. asiaticum)
การรักษา
ไม่แนะนำการทำให้อาเจียนเพราะคนไข้จะมีอาการอาเจียนอยู่แล้ว ควรจะล้างท้อง และใช้ถ่าน (activated charcoal) ในการดูดพิษแอลคาลอยด์ และควรให้เกลือแร่ป้องกันการสูญเสียน้ำ และแร่ธาตุ
3. พืชวงศ์ Apocynaceae:
พืชวงศ์นี้จะมีสารกลุ่มคาร์ดิแอคกลัยโคไซด์ ซึ่งมีผลกระตุ้นการเต้นของหัวใจ พืชกลุ่มนี้จะมีพิษเมื่อรับประทานเกินขนาด ส่วนใหญ่จะเกิดพิษกับเด็ก เนื่องจากรับประทานผลหรือดอกของพืชพิษเหล่านี้ ซึ่งมักจะมีสีสวย จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุปาก และกระเพาะอาหาร เกิดอาการอาเจียน ท้องเดิน ปวดศรีษะและปวดท้อง หลังจากสารพิษถูกดูดซึมเข้าเส้นเลือด จะไปกระตุ้นหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและเต้นผิดปกติ อาการดังกล่าวอาจอยู่ได้นานถึง 2-3 อาทิตย์ สารพิษนี้พบได้ในทุกส่วนของพืช โดยเฉพาะในส่วนเมล็ด
ตัวอย่างพืช ได้แก่ ชวนชม (
Adenium obesum), บานบุรีสีเหลือง (
Allamanda cathartica), ยี่โถ (
Nerium indicum), รำเพย (
Thevetia peruviana), พญาสัตบรรณ (
Alstonia scholaris)
4. พืชวงศ์ Araceae:
เป็นพืชพิษที่มีน้ำยางใส และแคลเซียมออกซาเลท ซึ่งถ้าสัมผัสทำให้ผิวหนังอักเสบ และถ้ารับประทานเข้าไปจะทำให้ปากและลิ้นพอง น้ำลายไหล ลิ้น เพดานปาก และหน้าบวมอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งอาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย
ตัวอย่างพืช ได้แก่ ใบ้สามสี (
Aglaonema costatum), กระดาด (
Alocasiaindica), กระดาดแดง (
A. indicavar.metallica), กระดาดดำ (
A. macrorhiza), บอนสี (
Caladium bicolor), สาวน้อยประแป้ง (
Dieffenbachia sequine), พลูฉีก (
Monstera deliciosa)
การรักษา
ในกรณีที่สัมผัสกับน้ำยางให้ล้างด้วยน้ำและสบู่แล้วทาด้วยคาลาไมด์ และรับประทานยาแก้แพ้ ควรประคบบริเวณที่มีอาการด้วยน้ำเย็นจัดประมาณครึ่งชั่วโมง ถ้ายางเข้าตาควรล้างตาทันทีด้วยน้ำยาล้างตา หยอดตาด้วยยาหยอดตาที่มีตัวยาเป็นสเตียรอยด์ แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล
กรณีเพียงแต่เคี้ยวไม่ได้กลืนพืชลงไป รักษาโดยการใช้น้ำชะล้างปากและคอ เพื่อบรรเทาอาการปวดร้อนไหม้ที่ลิ้นและเยื่อบุช่องปาก รับประทานยาลดกรดครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะทุกๆ 2 ชั่วโมง รับประทานยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบอาการจะอยู่เพียง 2-3 วันก็สามารถรับประทานอาหารอ่อน ๆ ได้แต่ถ้าผู้ป่วยกลืนพืชพิษเข้าไปไม่ควรทำให้อาเจียน เพราะจะทำให้สารพิษสัมผัสเยื่อบุปากและคออีกครั้ง ควรส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว เพื่อล้างท้อง และให้การรักษาตามอาการ
5. พืชวงศ์ Begoniaceae:
เป็นไม้ประดับต่างถิ่นที่นำเข้ามา ใบและดอกมีสีสวยงาม แต่มีสารพิษ คือแคลเซียมออกซาเลท ซึ่งถ้ารับประทานเข้าไปจะระคายเคืองปากและลำคอ
ตัวอย่างพืช ได้แก่ เบโกเนีย (
Begonia semperflorencultorum)
6. พืชวงศ์ Euphorbiaceae:
เป็นพืชที่มีน้ำยางขาว ซึ่งมีสารพิษกลุ่ม phorbol ถ้าสัมผัสถูกจะมีอาการคัน ผิวหนังอักเสบ ถ้ารับประทานเข้าไปจะระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน และถ่ายท้องอย่างรุนแรง
ตัวอย่างพืช ได้แก่ สลัดได (
Euphorbia antiquorum), ส้มเช้า (
E. ligularia), โป๊ยเซียน (
E. milii), คริสต์มาส (
E. pulcherrima),พญาไร้ใบ (
E. tirucalli), สามเหลี่ยมญี่ปุ่น (
E. trigona)
หรือกลุ่มพืชที่มีน้ำยางใส และโปรตีนที่เป็นพิษ ถ้ารับประทานเข้าไปจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อาจถ่ายเป็นเลือด ความดันโลหิตต่ำ
ตัวอย่างพืช ได้แก่ ปัตตาเวีย (
Jatropha integerrima), ฝิ่นต้น (
J. multifida), หนุมานนั่งแท่น (
J. podagrica)
การรักษา
ในกรณีที่สัมผัสกับน้ำยางใสให้ล้างด้วยน้ำและสบู่ แต่ถ้าถูกน้ำยางขาวซึ่งล้างด้วยน้ำและสบู่ไม่ออกให้ล้างหรือเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ แล้วทาด้วยคาลาไมด์ และรับประทานยาแก้แพ้ ควรประคบบริเวณที่มีอาการด้วยน้ำเย็นจัดประมาณครึ่งชั่วโมง ถ้ายางเข้าตาควรล้างตาทันทีด้วยน้ำยาล้างตา หยอดตาด้วยยาหยอดตาที่มีตัวยาเป็นสเตียรอยด์ แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลกรณีกลืนกินพืชพิษ ทำให้คนไข้อาเจียนและรับประทานยาเคลือบกระเพาะอาหารและลำไส้ และรีบส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดเพื่อล้างท้อง หรือให้รับประทานยาถ่ายเพื่อลดการดูดซึมสารพิษ
7. พืชวงศ์ Liliaceae:
พืชวงศ์นี้นิยมตัดดอกเป็นไม้ประดับ ได้แก่ ดอกลิลลี่ แต่ประเทศไทยจะมีต้นดองดึง (
Gloriosa superba) ซึ่งดอกมีสีสวยงาม แต่ส่วนของเมล็ดและเหง้าจะมีสารโคชิซีน ซึ่งเป็นสารพิษ ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเดิน อาจถ่ายเป็นน้ำ และมีเลือดปน ไตอาจจะถูกทำลาย กล้ามเนื้อเปลี้ย และระบบประสาทส่วนกลางเป็นอัมพาตทำให้ตายได้
การรักษา
ไม่แนะนำการทำให้อาเจียนเพราะคนไข้จะมีอาการอาเจียนอยู่แล้ว ควรจะล้างท้อง และใช้ถ่าน (activated charcoal) ในการดูดพิษแอลคาลอยด์ และควรให้เกลือแร่ป้องกันการสูญเสียน้ำ และแร่ธาตุ
8. พืชวงศ์ Meliaceae:
พืชวงศ์นี้เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก-กลาง นิยมปลูกในสวนสาธารณะและหมู่บ้าน เนื่องจากมีทรงต้นและใบที่สวย ตัวอย่างเช่น สะเดา (
Azadirachta indica var.
siamensis)และเลี่ยน (
Meliaa zedarach) เมล็ดสะเดามีสาร azadirachtins ซึ่งเป็นยาฆ่าแมลง ส่วนเมล็ดเลี่ยนมีสารพิษ(meliatoxin)ที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งอาจจะทำให้ชัก กล้ามเนื้อเกิดอาการเกร็ง กระตุก คนไข้อาจเสียชีวิตเนื่องจากระบบหายใจล้มเหลว
9. พืชวงศ์ Solanaceae:
พืชวงศ์นี้มีดอกที่สวย แต่ใบและเมล็ดจะมีสารพิษกลุ่มแอลคาลอยด์ ถ้าเป็นลำโพงจะมีสารพิษกลุ่มโทรเปนแอลคาลอยด์ ถ้ารับประทานเข้าไปจะทำให้ปากแห้ง คอแห้ง ลำไส้คลายตัว และมีผลต่อระบบประสาททำให้เกิดประสาทหลอนได้ที่เรียกว่า “บ้าลำโพง” แต่ถ้าเป็นราตรี (
Cestrum nocturnum)จะมีสารพิษ solanine ซึ่งถ้ารับประทานเข้าไปจะระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน และท้องเดิน
การรักษา
ในกรณีที่รับประทานเข้าไปควรส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว เพื่อล้างท้อง ขัดขวางการดูดซึมสารกลุ่มโทรเปนแอลคาลอยด์หรือให้ผงถ่านแล้วให้ยาถ่าย และใช้เครื่องช่วยหายใจ ถ้าจำเป็น
10. พืชวงศ์ Verbenaceae:
ต้นเทียนหยด (
Duranta repens) เป็นพืชที่มีดอกและผลที่มีสีสวยดึงดูดใจ ส่วนผลมีสารกลุ่มซาโปนิน ถ้ารับประทานจะระคายเคืองต่อกระเพาะและถูกดูดซึม ทำให้เม็ดเลือดแตกได้ ส่วนผลของผกากรอง (
Lantana camara) มีสารพิษกลุ่มไตรเทอร์ปีน ถ้ารับประทานจะทำให้อ่อนเพลีย กล้ามเนื้อไม่ประสานกัน มึนงง อาเจียน ม่านตาขยาย ตัวเขียว ท้องเดิน หมดสติ และตายในที่สุด
การรักษา
ทำให้พิษลดลงหรือได้รับการดูดซึมน้อยที่สุด ได้แก่ การทำให้อาเจียน และให้สารหล่อลื่น เช่น นม หรือไข่ขาว ขณะพักฟื้นให้ทานอาหารอ่อน ๆ ให้น้ำเกลือ ในกรณีมีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่มาก
จะเห็นได้ว่าไม้ประดับที่เป็นพิษที่ได้กล่าวมาข้างต้นยังเป็นไม้พิษที่มีปัญหาในประเทศไทย จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่นักภูมิทัศน์ต้องพิจารณาถึงพิษของไม้ประดับด้วย มิใช่พิจารณาเพียงแต่ความสวยงามของพืชเท่านั้น ทั้งนี้จะได้เป็นการลดความเสี่ยงจากไม้ประดับที่เป็นพิษได้
เอกสารอ้างอิง
- นพมาศ สุนทรเจริญนนท์. พืชพิษ (Poisonous Plants). ใน รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล และคณะ (บรรณาธิการ).สมุนไพร: ยาไทยที่ควรรู้. กรุงเทพมหานคร: บริษัทอมรินทร์พริ้นติ๊งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), 2542.
- ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์. ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม. กรุงเทพมหานคร: บริษัทประชาชน จำกัด, 2544.
- Benezra C, Ducombs G, Sell Y, et al. Plant Contact Dermatitis. Philadephia: C.V. Mosby Company, 1985.
- Bruneton J. Toxic Plants: Dangerous to Humans and Animals. Paris: Lavoisier Publising Inc., 1999.
- Hart NK, Lamberton JA, Sioumis AA, et al. Triterpenes of toxic and non-toxic taxa of Lantana camara. Experientia 1976; 32: 412-3.
- Hiraoka N, Tashimo K, Kinoshita C, Hirooka M. Genotype and alkaloid contents of Datura metel varieties. Biol Pharm Bull 1996; 19(8): 1086-9.
- Lampe KF, Fagerstrom R. Plant Toxicology & Dermatitis. Baltimore: William & Wilkins Company, 1968.
- Mendis S. Colchicine cardiotoxicity following ingestion of Gloriosa superba tubers. Postgrad Med J 1989; 65(768): 752-5.
- Morton J. Plants Poisonous to People in Florida and Other Warm Areas. 3rd ed. Miami: Hallmark Press, 1995.
- Nagaratnam N, De Silva DP, De Silva N. Colchicine poisoning follow ingestion of Gloriosa superba tubers. Trop Geogr Med 1973; 25(1): 15-7.
- Sharma OP, Makkar HPS, Dawra RK.A review of the noxious plant Lantanacamara. Toxicon 1988; 26: 975-87.
- Walter WG, Khanna PN. Chemistry of the aroids I Dieffenbachia seguine, amoena, and picta. Econ Bot 1972; 26(4): 364-72.