ยากลุ่ม proton pump inhibitors หรือ PPIs เป็นยายับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของ proton pump หรือเอนไซม์ hydrogen/potassium adenosine triphosphatase (หรือ H+/K+ ATPase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำงานในขั้นตอนสุดท้ายของการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น omeprazole, esomeprazole, lansoprazole, dexlansoprazole, pantoprazole, rabeprazole เป็นยาที่นำมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางในการรักษาโรคหรือความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับกรดในกระเพาะอาหาร เช่น รักษาโรคกรดไหลย้อน (gastroesophageal reflux disease หรือ GERD) รักษาและควบคุมภาวะหลอดอาหารอักเสบมีแผล (erosive esophagitis) รักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร (gastric ulcers) รักษาโรคแผลในลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenal ulcers) รักษาและป้องกันการเกิดแผลในทางเดินอาหารจากการใช้ยาบรรเทาอาการอักเสบในกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID-induced ulcers) รักษาภาวะที่มีการหลั่งกรดมากเกิน (รวมถึง Zollinger-Ellison syndrome) รักษาการติดเชื้อ Helicobacter pylori (แบคทีเรียชนิดนี้เป็นจุลชีพประจำถิ่นที่มีบทบาทสำคัญในการเกิดแผลในทางเดินอาหารที่เนื่องจากกรด) โดยใช้ร่วมกับยาต้านจุลชีพ
การที่ PPIs มีประโยชน์ทางการแพทย์หลายอย่างและเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย จึงมีการใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในสถานพยาบาลและการซื้อมาใช้เอง มีการใช้ยาเกินข้อบ่งใช้ การใช้เกินขนาด และการใช้นานเกินกว่าข้อแนะนำ ซึ่งนอกจากสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายแล้วยังอาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้หลายอย่างโดยเฉพาะเมื่อใช้เป็นเวลานาน เช่น ลดการดูดซึมสารอาหาร ลดการดูดซึมเหล็ก ลดการดูดซึมวิตามินบี 12 เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ เกิดภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำ เพิ่มความเสี่ยงต่อกระดูกหัก เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม เกิดผลเสียต่อไต ยับยั้งเอนไซม์ในกลุ่ม CYP450 จึงเกิดปฏิกิริยากับยาหลายชนิด แม้ว่ากลไกการเกิดผลเสียดังกล่าวข้างต้นบางอย่างยังไม่อาจอธิบายได้ ตลอดจนรายงานที่เกี่ยวข้องกับอาการไม่พึงประสงค์อาจไม่ไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวคืออาจมีความสัมพันธ์น้อยกับการใช้ PPIs (ดูรูป) อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ในหลายประเทศได้มีการทบทวนการใช้ PPIs ในข้อบ่งใช้ต่างๆ ในเบื้องต้นหลายหน่วยงานได้มีข้อแนะนำถึงแนวทางในการพิจารณาปรับลดการใช้ PPIs ตัวอย่างข้อแนะนำ เช่น
- การปรับลดการใช้นั้นครอบคลุมถึง การลดขนาดยา การลดระยะเวลาที่ใช้ยา การใช้ยาเป็นช่วง (intermittent use) หรือการใช้ตามต้องการเมื่อจำเป็น (on demand use) และการหยุดใช้
- ช่วงที่มีการปรับลดการใช้ยา อาจเปลี่ยนมาใช้ histamine 2 receptor antagonists หรือยาลดกรด (antacids) ชนิดรับประทาน
- การใช้ยาระยะยาวอาจพิจารณาใช้ในบางกรณี เช่น Barrett’s esophagus, หลอดอาหารอักเสบรุนแรงถึงขั้นที่เคยตีบมาแล้วหรือมีเลือดออก, peptic ulcers ที่มีเลือดออกรุนแรง, Zollinger- Ellison Syndrome, การใช้ป้องกันการเกิดแผลในทางเดินอาหารเนื่องจากการใช้ NSAIDs ในผู้ที่มีความเสี่ยง (เช่น ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีประวัติเลือดออกหรือเกิดแผลทะลุที่กระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น ผู้ที่ใช้ยาอื่นที่เสี่ยงต่อการเกิดผลไม่พึงประสงค์ต่อทางเดินอาหารร่วมด้วย ผู้ที่ใช้ NSAIDs ขนาดสูง ผู้ที่ใช้ NSAIDs เป็นเวลานาน)
- พิจารณาลดการใช้ PPIs ในผู้ที่ได้รับการรักษาครบระยะเวลาขั้นต่ำ 4 สัปดาห์แล้ว (หากไม่ใช่กรณีที่ต้องใช้ยาระยะยาวดังกล่าวข้างต้น) โดยค่อยๆ ลดขนาดลง อาจทำโดยลดลงครึ่งหนึ่งในทุก 1-2 สัปดาห์จนถึงหยุดใช้ หรือเว้นช่วงห่างจากการใช้ยาทุกวันเป็นใช้ทุก 2-3 วัน และในช่วงที่ลดขนาดยาหรือเว้นช่วงห่างนั้นอาจพิจารณาใช้ histamine 2 receptor antagonists หรือยาลดกรดชนิดรับประทาน
- ควรประเมินผลการรักษาเป็นระยะๆ โดยคำถึงประโยชน์ที่ได้รับจากยาเทียบกับความเสี่ยงต่อการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาปรับลดการใช้ต่อไป
อ้างอิงจาก:
(1) Targownik L. Discontinuing long-term PPI therapy: why, with whom, and how? Am J Gastroenterol 2018;113:519-28; (2) Kinoshita Y, Ishimura N, Ishihara S. Advantages and disadvantages of long-term proton pump inhibitor use. J Neurogastroenterol Motil 2018;24:182-96; (3) Yadlapati R, Kahrilas PJ. The "dangers" of chronic proton pump inhibitor use. J Allergy Clin Immunol 2018;141:79-81; (4) All Wales Medicines Strategy Group. Safe use of proton pump inhibitors, February 2018. http://www.awmsg.org/docs/awmsg/medman/Safe%20Use%20of%20Proton%20Pump%20Inhibitors.pdf