โพแทสเซียม (potassium หรือนิยมใช้ K เป็นตัวย่อทางวิทยาศาสตร์) จัดเป็นแร่ธาตุที่สำคัญของของเหลวภายในเซลล์ มีคุณสมบัติเป็นไอออนที่มีประจุบวกและส่งผลต่อการกระจายของน้ำในร่างกาย มีหน้าที่สำคัญในการรักษาระดับความเข้มข้นของของเหลวภายในและภายนอกเซลล์ รวมถึงการควบคุมความเป็นกรด-ด่าง และการแลกเปลี่ยนอิเล็กโทรไลต์ระหว่างเซลล์ โดยโพแทสเซียมจะถูกดูดซึมบริเวณลำไส้เล็กผ่านกลไกการแพร่ (passive diffusion) และเข้าสู่เซลล์ผ่านการทำงานของเอนไซม์ Na-K ATPase ซึ่งจะขับโซเดียม (Na) ออกจากเซลล์แลกกับนำโพแทสเซียม (K) เข้าเซลล์ โพแทสเซียมยังมีส่วนช่วยในการหดตัวของกล้ามเนื้อ การนำความรู้สึกทางประสาท และช่วยในการทำงานของเอนไซม์ภายในร่างกายหลายชนิดที่เกี่ยวกับกระบวนการเมแทบอลิซึม การขับทิ้งของโพแทสเซียมส่วนมากเกิดขึ้นทางปัสสาวะ มีเพียงบางส่วนที่ขับออกมาทางอุจจาระและเหงื่อ โดยคนทั่วไปต้องการโพแทสเซียมจากอาหารประมาณวันละ 1,950-3,900 มิลลิกรัม เพื่อให้มีระดับโพแทสเซียมในเลือดอยู่ในช่วง 3.5-5.0 mEq/L (1 มิลลิอิควิวาเลนท์ของโพแทสเซียม=โพแทสเซียม 39 มิลลิกรัม)1 โดยความต้องการโพแทสเซียมขึ้นกับแต่ละบุคคลตามช่วงวัย ดังแสดงไว้ในตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ปริมาณโพแทสเซียมอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับกลุ่มบุคคลวัยต่าง ๆ1
กลุ่มวัย |
อายุ |
ปริมาณโพแทสเซียมอ้างอิง ที่ควรได้รับ (มิลลิกรัมต่อวัน) |
|
ทารก |
0 - 5 เดือน |
น้ำนมแม่ |
|
6 - 11 เดือน |
925 - 1,550 |
||
เด็ก |
1 - 3 ปี |
1,175 - 1,950 |
|
4 - 5 ปี |
1,525 - 2,550 |
||
6 - 8 ปี |
1,625 - 2,725 |
||
วัยรุ่น
|
ชาย |
9 - 12 ปี |
1,975 - 3,325 |
13 - 15 ปี |
2,450 - 4,100 |
||
16 - 18 ปี |
2,700 - 4,500 |
||
หญิง |
9 - 12 ปี |
1,875 - 3,125 |
|
13 - 15 ปี |
2,100 - 3,500 |
||
16 - 18 ปี |
2,150 - 3,600 |
||
ผู้ใหญ่ |
ชาย |
19 - 30 ปี |
2,525 - 4,200 |
31 - 50 ปี |
2,450 - 4,100 |
||
51 - 60 ปี |
2,450 - 4,100 |
||
61 - 70 ปี |
2,450 - 4,100 |
||
มากกว่า หรือ เท่ากับ 71 ปี |
2,050 - 3,400 |
||
หญิง |
19 - 30 ปี |
2,050 - 3,400 |
|
31 - 50 ปี |
2,050 - 3,400 |
||
51 - 60 ปี |
2,050 - 3,400 |
||
61 - 70 ปี |
2,050 - 3,400 |
||
มากกว่า หรือ เท่ากับ 71 ปี |
1,825 - 3,025 |
||
หญิงตั้งครรภ์ |
ไตรมาสที่ 1 |
+ 0 |
|
ไตรมาสที่ 2 |
+ 350 - 575 |
||
ไตรมาสที่ 3 |
+ 350 - 575 |
||
หญิงให้นมบุตร |
0 - 5 เดือน |
+ 575 - 975 |
|
6 - 11 เดือน |
+ 575 - 975 |
- อาจมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารไม่เพียงพอ ร่วมกับภาวะอื่น ๆ เช่น ท้องเสีย อาเจียน สูญเสียเหงื่ออย่างรุนแรง สูญเสียฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ในผู้ป่วยหลังผ่าตัด และการมีภาวะเครียด2 นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการใช้ยาบางชนิดซึ่งทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและแร่ธาตุ เช่น ยาสวนล้างลำไส้ ยาช่วยขับถ่าย (laxative) ยาขับปัสสาวะกลุ่ม thiazide ยาขยายหลอดลมชนิดพ่น และยาจำพวกสเตียรอยด์2
- อาการแสดงมักไม่จำเพาะ เช่น อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง ท้องผูก หากระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำลงจนน้อยกว่า 3.0 mEq/L ภายในเวลารวดเร็วอาจทำให้เกิดการเต้นผิดจังหวะของหัวใจได้
- การรักษาในโรงพยาบาล มักใช้ยาน้ำ KCl elixir ซึ่งทุก ๆ การรับประทานยาที่มีปริมาณโพแทสเซียม 20 mEq จะสามารถเพิ่มระดับโพแทสเซียมในเลือดได้สูงขึ้น 0.25 mEq/L3 โดยยาที่มีใช้ในแต่ละโรงพยาบาลมีความเข้มข้นต่างกัน
- ภาวะขาดโพแทสเซียมในเบื้องต้นอาจแก้ไขด้วยการรับประทานอาหารที่มีปริมาณโพแทสเซียมสูง เช่น เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว และผลไม้บางชนิด ดังแสดงไว้ในตารางที่ 2
ตารางที่ 2 แหล่งอาหารของโพแทสเซียม1
แหล่งอาหาร |
ปริมาณโพแทสเซียม (มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม) |
เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา และเนื้อวัว |
200-400 |
กระถิน (ฝักแก่และยอดอ่อน) ผักบุ้งไทย ชะอม ปวยเล้ง |
400-500 |
กระเจี๊ยบ (ดอก) ขี้เหล็ก (ใบ) ชะพลู (ใบ) |
500-600 |
กล้วย มะละกอสุก ลำไย ขนุน |
300-400 |
ทุเรียน |
430-680 |
ถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ |
600-1,600 |
ข้าวกล้อง เมล็ดฟักทอง |
325-400 |
- อาจมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงในผู้ป่วยที่มีภาวะไตบกพร่องที่มีการขับโพแทสเซียมออกทางปัสสาวะแย่ลง ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่เกิดขึ้นในผู้ที่มีการทำงานของไตปกติ หรืออาจเกิดจากภาวะที่ผนังเซลล์ในร่างกายถูกทำลาย (intracellular injury) ทำให้โพแทสเซียมรั่วออกมาด้านนอกเซลล์ (extracellular) การสูญเสียน้ำแบบเฉียบพลัน หรือการมีภาวะหัวใจล้มเหลว นอกจากนี้ยังมียาบางชนิดที่สามารถส่งผลให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงขึ้นได้ เช่น4
- ยาลดความดัน: ยากลุ่ม angiotensin converting enzyme (ACE) inhibitors เช่น enalapril, captopril และ ramipril เป็นต้น ยากลุ่ม angiotensin receptor blocker (ARBs) เช่น losartan, valsartan เป็นต้น ซึ่งยาเหล่านี้จะออกฤทธิ์ลดการขับออกของโพแทสเซียมทางปัสสาวะ
- ยาขับปัสสาวะกลุ่ม potassium-sparing เช่น spironolactone, amiloride ซึ่งยาเหล่านี้จะออกฤทธิ์ลดการกักเก็บน้ำและโซเดียม ส่งผลลดการขับออกของโพแทสเซียม
- ภาวะโพแทสเซียมสูงในระยะแรก (5.0-5.5 mEq/L) มักไม่ทำให้เกิดอาการแสดง แต่หากระดับโพแทสเซียมสูงขึ้นจนมีค่า 6.5 mEq/L ขึ้นไป จะส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะ อัมพาต ระบบประสาทและกล้ามเนื้อผิดปกติ จนอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตได้
- การรักษาภาวะโพแทสเซียมสูงสามารถทำได้หลายแนวทางขึ้นกับความรุนแรงและอาการแสดง แต่มักจะต้องทำในสถานพยาบาลภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งกลุ่มยาที่ใช้ ได้แก่4
- Calcium gluconate ใช้สำหรับผู้ป่วยที่หัวใจเต้นผิดจังหวะร่วมกับกราฟการเต้นของหัวใจผิดปกติ โดย calcium จะออกฤทธิ์ช่วยป้องกันการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ5
- Insulin ใช้สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง โดยยาจะออกฤทธิ์ทำให้ K ถูกนำเข้าเซลล์มากขึ้น แต่ยานี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเรื่องภาวะน้ำตาลต่ำได้
- กลุ่มยาเพิ่มการขับโพแทสเซียมออกทางไต ได้แก่ ยาขับปัสสาวะกลุ่ม loop diuretics เช่น furosemide
- กลุ่มยาเพิ่มการขับโพแทสเซียมที่ทางเดินอาหาร เช่น sodium polystyrene sulfonate (kayexalate) และ calcium polystyrene sulfonate (kalimate) โดยยาจะออกฤทธิ์จับโพแทสเซียมที่มากับอาหารและน้ำย่อยก่อนจะพาไปขับออกทางอุจจาระ6,7
โพแทสเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อการทำงานมากมายภายในร่างกาย ความผิดปกติของระดับโพแทสเซียมอาจทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติซึ่งอาจรุนแรงจนทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะและเสียชีวิตได้ สำหรับภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำอาจแก้ไขด้วยการรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งโพแทสเซียมเพิ่มขึ้น ในขณะที่ภาวะโพแทสเซียมสูงอาจแก้ไขด้วยการใช้ยา ซึ่งจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด