โรคฉี่หนูหรือโรคเลปโตสไปโรสิส (leptospirosis) เกิดจากการติดเชื้อเลปโตสไปรา (Leptospira) ซึ่งพบได้ในแหล่งน้ำหรือดินที่ปนเปื้อน ทั้งจากแหล่งน้ำฝนบริเวณที่มีน้ำท่วมขังหรือเกิดอุทกภัย รวมถึงแหล่งน้ำจืด เชื้อโรคนี้สามารถก่อโรคได้ทั้งในคนและสัตว์ หากไม่ได้รับการรักษาการติดโรคฉี่หนูอาจนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลัน เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ตับวาย หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้1 โรคฉี่หนูพบมากในพื้นที่เขตร้อนทั่วโลกโดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกาตะวันออก-ซับซาฮารา โอเชียเนีย และแคริบเบียน1 สำหรับประเทศไทยโรคฉี่หนูสามารถพบได้ทุกพื้นที่ของประเทศและพบได้ตลอดทั้งปีโดยเฉพาะฤดูฝน จากข้อมูลการเฝ้าระวังโรคฉี่หนูหรือโรคเลปโตสไปโรสิส ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 7 สิงหาคม 2567 พบผู้ป่วยสงสัยโรคฉี่หนูจำนวน 2,070 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 3.13 ต่อประชากรแสนคน ผู้เสียชีวิตจำนวน 27 ราย คิดเป็นอัตราตาย 0.04 ต่อประชากรแสนคน2
เชื้อเลปโตสไปราเป็นแบคทีเรียสายเกลียว (spirochetes) แบ่งออก 2 สปีชีส์3 ได้แก่ biflexa ซึ่งไม่ก่อโรค และ interrogans ที่สามารถก่อโรคเลปโตสไปโรสิสในคนและสัตว์โดยแพร่ผ่านสัตว์ที่เป็นพาหะของโรค ได้แก่ สัตว์ฟันแทะ สุนัข แมว หรือปศุสัตว์ โดยหนูเป็นพาหะที่พบมากที่สุด เมื่อสัตว์เหล่านี้ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการของโรคแต่ยังคงปล่อยเชื้อโรคฉี่หนูออกมากับปัสสาวะเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี โดยเชื้อโรคฉี่หนูจะแพร่กระจายผ่านปัสสาวะของสัตว์ที่ติดเชื้อและสามารถอยู่รอดในน้ำหรือดินที่ปนเปื้อนปัสสาวะได้นานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน วิธีการแพร่ผ่านของเชื้อที่พบเจอบ่อย ได้แก่ ทางผิวหนังอ่อน (บริเวณซอกนิ้วมือและเท้า) เยื่อบุอ่อน (บริเวณตา จมูก และปาก) และแผลถลอก4
อาการของโรคแบ่งเป็น 2 ระยะหลัก คือ 1) ระยะเฉียบพลันซึ่งจะเกิดขึ้นใน 3-9 วันแรก ผู้ป่วยจะมีไข้ ตาแดง หนาวสั่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ร่วมกับมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย โดยระยะนี้เป็นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่เกิดได้จนถึง 2-3 สัปดาห์ ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถฟื้นตัวได้ 2) อาจมีบางรายที่เกิดภาวะแทรกซ้อนโดยมีอาการนำ คือ ภาวะตัวเหลืองตาเหลืองหรือภาวะตับอักเสบดีซ่าน นำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลัน ตับวาย เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งอาการของโรคในช่วงแรกจำแนกได้ยากเมื่อเปรียบเทียบกับโรคหวัดหรือโรคติดเชื้ออื่น ๆ จึงจำเป็นต้องซักประวัติร่วมกับการประเมินอาการเพื่อวินิจฉัยโรค ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจระดับแอนติบอดีในเลือดของผู้ป่วยที่มีต่อเชื้อ การเพาะแยกเชื้อ หรือการตรวจสารพันธุกรรมด้วยวิธี PCR จากตัวอย่างเลือด ปัสสาวะ น้ำไขสันหลัง เป็นต้น ทั้งนี้หากไม่ได้รับการรักษาให้ทันท่วงทีอาจส่งผลต่อความผิดปกติที่เพิ่มมากขึ้น เช่น กล้ามเนื้อสลายตัว เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ การทำงานของอวัยวะล้มเหลวหลายระบบ เกิดเลือดออกที่อวัยวะภายในไปจนถึงเสียชีวิตได้4
Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ประเทศสหรัฐอเมริกา แนะนำ doxycycline เป็นยาปฏิชีวนะที่สามารถใช้ในการป้องกันการติดเชื้อเลปโตสไปราและโรคฉี่หนูได้1 โดยแนะนำให้ใช้ยาป้องกันในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงด้วย doxycycline 200 มิลลิกรัม ทุก 1 สัปดาห์ โดยเริ่มรับประทานยา 1 สัปดาห์ก่อนสัมผัสเชื้อ และรับประทานต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่สัมผัสเชื้อ มีรายงานการศึกษาประสิทธิภาพของ doxycycline ในกลุ่มตัวอย่างประเทศไทยในช่วงน้ำท่วม พบว่ากลุ่มที่ได้รับ doxycycline 200 มิลลิกรัมครั้งเดียว ภายใน 0-3 วันหลังสัมผัสน้ำขัง สามารถลดการติดเชื้อได้ร้อยละ 76.8 และลดการเกิดโรคฉี่หนูได้ประมาณร้อยละ 86.3 แสดงให้เห็นว่า doxycycline สามารถช่วยลดการเป็นโรคและอาจลดอัตราการตายจากโรคฉี่หนูได้ นอกจากนี้การศึกษายังพบว่าการมีบาดแผลและการสัมผัสน้ำขังนานเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เป็นโรคฉี่หนู5 ทั้งนี้การใช้ doxycycline ยังมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและความเหมาะสมในการใช้งานอยู่มากประชาชนจึงไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมาใช้เองเพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายจากการแพ้ยาหรือการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง
Doxycycline เป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่ม tetracyclines ซึ่งออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในวงกว้าง (broad spectrum antibiotics) ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเพื่อป้องกันหรือรักษาสภาวะเฉพาะที่หลากหลาย เช่น การติดเชื้อริกเก็ตเซียล การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อทางเดินหายใจ การติดเชื้อแบคทีเรีย การติดเชื้อโรคที่ตา โรคแอนแทรกซ์ โรคติดเชื้ออะมีเบียในลำไส้เฉียบพลัน โรคท้องร่วงในนักเดินทาง และโรคสิวรุนแรง ทั้งนี้ doxycycline ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นยาที่สามารถใช้เพื่อป้องกันโรคมาลาเรีย อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการสำหรับป้องกันการติดเชื้อเลปโตสไปราและโรคเลปโตสไปโรสิส แต่มีการศึกษาทางคลินิกทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศที่สนับสนุนการใช้5,6
- ห้ามในผู้ที่แพ้ยากลุ่ม tetracyclines
- อาการทางระบบทางเดินอาหารโดยทั่วไปซึ่งรุนแรงเล็กน้อยถึงปานกลาง ได้แก่ คลื่นไส้ (4-33%) อาการปวดท้อง (12-33%) อาเจียน (4-8%) และท้องเสีย (6-7.5%) การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าอาการคลื่นไส้มีแนวโน้มที่จะเกิดมากขึ้นหากรับประทานขณะท้องว่าง7
- อาการไวต่อแสงแดด (photosensitivity) เช่น เกิดผื่นแดงขึ้นเมื่อสัมผัสแดด ซึ่งมีรายงานใน 7.3-21.2% ของผู้ที่ใช้ยา โดยบุคคลที่มีผิวสีอ่อนอาจมีแนวโน้มที่จะไวต่อแสงมากกว่า7
- การเปลี่ยนสีของฟันอย่างถาวรและภาวะเคลือบฟันผิดปกติในช่วงการพัฒนาการของฟันในเด็ก จึงไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กหรือหญิงตั้งครรภ์8
- โรคท้องร่วงจากเชื้อ Clostridium difficile ซึ่งเป็นผลมาจากการออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในวงกว้างอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจนทำให้สมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ผิดปกติไป เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียฉวยโอกาส7
- การเจริญของเชื้อจุลินทรีย์อื่น ๆ รวมไปถึงการติดเชื้อราบริเวณช่องคลอด7
- ปฏิกิริยาทางผิวหนังที่รุนแรง (โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง, erythema multiforme, Stevens-Johnson syndrome, toxic epidermal necrolysis)8
- ยาลดกรด ยาระบายที่มีแมกนีเซียม อาหารเสริมที่มีแคลเซียม ธาตุเหล็ก รวมถึงการดื่มนมและผลิตภัณฑ์จากนมทำให้การดูดซึมของยา doxycycline ลดลง8
- ยากันชักบางกลุ่ม เช่น บาร์บิทูเรต คาร์บามาเซพีน และฟีนิโทอิน ทำให้ค่าครึ่งชีวิตของ doxycycline ลดลงจากการกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ในตับ7
- กลุ่มยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) ชนิดรับประทาน พบว่ายาในกลุ่ม tetracycline สามารถขัดขวางกระบวนการแข็งตัวของเลือด ได้แก่ ลดการทำงานของ prothrombin และลดการผลิตวิตามินเคโดยแบคทีเรียในลำไส้7
- ยาดิจอกซิน (digoxin) พบว่าผู้ป่วยอาจมีระดับดิจอกซินในซีรั่มสูงขึ้นเป็นผลมาจากจุลินทรีย์ในลำไส้ที่เปลี่ยนแปลงไป และการกำจัดดิจอกซินลดลง7
การดูแลสุขอนามัยและการลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ได้แก่ หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำที่อาจปนเปื้อนปัสสาวะของสัตว์ การเดินลุยน้ำหลังฝนตกหนักหรือน้ำท่วม การย่ำโคลนด้วยเท้าเปล่า การทำกิจกรรมหรือเล่นกีฬาในแหล่งน้ำจืด การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโดยไม่ผ่านการต้มหรืออุ่นร้อน รวมถึงการทำงานกับสัตว์ เช่น การสัมผัสกับสารคัดหลั่งของสัตว์ที่สามารถเป็นพาหะของเชื้อโรคฉี่หนูได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีบาดแผลหรือรอยขีดข่วน รักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัยและสถานที่ทำงานไม่ให้เป็นแหล่งอาศัยของหนู และรีบชำระล้างร่างกายทันทีหลังจากมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อ แต่หากมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ร่วมกับมีประวัติการเดินลุยน้ำขัง ทำกิจกรรมทางน้ำหรือทำการเกษตร อาจทำให้นึกถึงโรคฉี่หนูได้ การรักษาโรคตั้งแต่ระยะแรก ๆ จะมีโอกาสในการหายขาดจากโรคสูงกว่า ซึ่งความล่าช้าในการรักษาอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโรคฉี่หนูอาจได้รับประโยชน์จากการป้องกันด้วยยา doxycycline เพื่อลดความเสี่ยงต่ออาการและภาวะแทรกซ้อนของโรค ภายใต้คำแนะนำการใช้ยาของแพทย์และเภสัชกร