ริดสีดวงเป็นโรคที่พบได้บ่อยซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้านทั่วโลก และยังเป็นปัญหาสำคัญทางด้านการแพทย์ และภาวะเศรษฐกิจสังคม โดยริดสีดวงเป็นอาการที่เกิดขึ้นทางทวารหนักที่มักเกิดในคนอายุ 45-65 ปี และสัมพันธ์กับพฤติกรรมที่ทำให้ความดันที่หลอดเลือดดำของริดสีดวง (hemorrhoidal venous plexus) เพิ่มขึ้น อาการที่สามารถพบได้ของโรคริดสีดวง ได้แก่ อาการเลือดออก ปวด มีติ่ง และคัน ถึงอย่างไรก็ตามอาการดังกล่าวไม่จำเพาะเจาะจงต่อโรคริดสีดวง จึงควรมีการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อแยกว่าไม่ได้เป็นโรคอื่น ๆ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ[1],[2],[3]
สาเหตุการเกิดริดสีดวงที่แท้จริงยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ในปัจจุบันพบว่าทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง คือ การที่เนื้อเยื่อรองรับเบาะรองทวารหนัก (anal cushion) ซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยควบคุมการขับถ่ายมีการเสื่อมสภาพ และหย่อนตัวลงจากตำแหน่งปกติ ทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือดดำ[1],[4] โดยโรคริดสีดวงเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่เพิ่มความดันของหลอดเลือดดำของริดสีดวง เช่น การเบ่งถ่ายอุจจาระจากภาวะท้องผูก เป็นต้น นอกจากนี้ยังสัมพันธ์กับปัจจัยอื่น ๆ รวมถึงโรคอ้วน การตั้งครรภ์ ท้องเสียเรื้อรัง การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก โรคตับแข็งที่มีน้ำในช่องท้อง ความผิดปกติของอุ้งเชิงกราน และการรับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำ[3]
ริดสีดวงแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะมีอาการหลักแตกต่างกัน โดย
ทั้งนี้ผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปี ที่มีเลือดออกทางทวารหนัก และกลุ่มผู้ที่อายุน้อยที่มีปัจจัยเสี่ยงควรได้รับการประเมินโดยการส่องกล้องด้วย ทั้งนี้เพื่อตรวจการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ (colorectal cancer) ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้เกิดเลือดออกทางทวารหนักคล้ายริดสีดวงทวาร
วิธีการรักษาริดสีดวงขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค โดยทุกระดับความรุนแรงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมด้วย ซึ่งการรักษาแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ การรักษาด้วยวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการรักษาด้วยยา การรักษาแบบ office-based และการผ่าตัด [1],[2],[5] สำหรับการรักษาแบบใช้ยาร่วมกับการปรับพฤติกรรมแนะนำให้ใช้รักษาในโรคระดับที่ไม่รุนแรง[2] โดยวิธีนี้เน้นการทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม ลดอาการเจ็บปวด ปรับแก้พฤติกรรมการเข้าห้องน้ำและพฤติกรรมการดำเนินชีวิตอื่น ๆ ที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งหากไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะมีโอกาสในการกลับมาเป็นซ้ำในระยะยาว[5]
- ไม่ใช้โทรศัพท์หรืออ่านหนังสือขณะเข้าห้องน้ำ เนื่องจากอาจทำให้เพิ่มระยะเวลาการอยู่บนโถส้วม เพิ่มแรงดันบริเวณทวารหนัก และทำให้เกิดการเบ่งระหว่างการขับถ่าย
- ใช้เวลาบนโถส้วมให้สั้นลง เช่น ใช้เวลาเข้าห้องน้ำเพียง 3 นาที เป็นต้น
- รับประทานอาหารที่มีกากใยเพิ่มขึ้น และการเพิ่มการดื่มน้ำ โดยปริมาณกากใยที่แนะนำ คือ 28 กรัมในผู้หญิง และ 38 กรัม ในผู้ชาย โดยสามารถใช้อาหารเสริมกากใยร่วมด้วยได้ เช่น psyllium husk เป็นต้น
- ใช้ยาระบายร่วมด้วยในบางราย
- ยาบำรุงเสริมสร้างหลอดเลือดดำ (phlebotonic drug) เป็นยารับประทานที่มีสารสกัดจากพืชกลุ่ม flavonoids (diosmin, hesperidin, rutoside) มีประโยชน์ในด้านการลดการเลือดออก อาการคัน และการกลับมาเป็นซ้ำ[3],[5] ยากลุ่มดังกล่าวมีผลข้างเคียงน้อยและมักเป็นอาการที่ไม่รุนแรง เช่น อาการปวดหัว อาการเกี่ยวกับทางเดินอาหาร หรือมีอาการคล้ายเข็มทิ่ม (tingling sensation) เป็นต้น นอกจากนี้พบว่าการได้รับสารกลุ่ม flavonoids ในขนาดสูงกว่าแหล่งอาหารทั่วไปหลายเท่าเป็นเวลานานอาจส่งผลทำให้สารพันธุกรรม DNA เกิดความเสียหายได้ ผลกระทบเหล่านี้อาจต้องระวังในระหว่างช่วงตั้งครรภ์เนื่องจากสารดังกล่าวสามารถผ่านรกได้[6] สำหรับ micronized purified flavonoid fraction (MPFF) ซึ่งเป็นตัวยาที่นิยมใช้ในการรักษา มีขนาดยาที่แนะนำในการใช้สำหรับรักษาอาการเลือดออกแบบฉับพลัน (acute bleeding) คือ 3,000 มิลลิกรัม/วัน นาน 4 วัน ตามด้วย 2,000 มิลลิกรัม/วัน นาน 3 วัน หลังจากนั้นแนะนำให้มีการใช้ยาขนาด 1,000 มิลลิกรัม/วัน อย่างน้อย 2 เดือน[7]
- ยาใช้เฉพาะที่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยควบคุมอาการริดสีดวงมากกว่าการรักษาตัวโรค ใช้เพื่อรักษาอาการในระยะสั้น และอาจต้องใช้การรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วย ยาใช้เฉพาะที่ที่มีวางขายในท้องตลาดมีทั้งในรูปแบบครีม ขี้ผึ้ง (ointment) และยาเหน็บ[1],[3],[8] โดยยาใช้เฉพาะที่เหล่านี้ประกอบด้วยส่วนผสมที่หลากหลาย เช่น ยาชา สเตียรอยด์ ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยาต้านการอักเสบอื่น ๆ ไม่แนะนำให้ใช้ยาเหล่านี้เป็นเวลานาน (มากกว่า 15 วัน) เนื่องจากอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาการแพ้ (sensitization reactions) เกิดการกดภูมิ และเกิดการตอบสนองของหลอดเลือด (vessel reactivity) จากส่วนผสมของสเตียรอยด์ และอาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง และอาการเคยชินต่อยา (habituation) จากส่วนผสมของ lidocaine ซึ่งเป็นยาชา[9]
5.1 นอนตะแคงให้ขาล่างเหยียดตรง และงอขาข้างที่อยู่ด้านบนให้หัวเข่าชิดหน้าอก
5.2 ยืนตรงยกขาข้างหนึ่งเหยียบบนเก้าอี้
5.3 นั่งยองพร้อมแยกขาออกเล็กน้อยคล้ายเวลานั่งถ่าย
วิธีการแบบ office-based แนะนำในการรักษาโรคความรุนแรงน้อยและปานกลางที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบการปรับพฤติกรรมและการใช้ยา เช่น การใช้ยางรัด (rubber band ligation) การฉีดยา (sclerotherapy) และการจี้ริดสีดวงด้วยอินฟาเรด (infrared photocoagulation) ซึ่งต้องทำโดยแพทย์[5] วิธีดังกล่าวสามารถทำในลักษณะของผู้ป่วยนอก (outpatient basis)[13] คือ ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้หลังจากได้รับการรักษาแบบ office based โดยไม่ต้องนอนในโรงพยาบาล แต่ในผู้ที่มีอาการรุนแรงอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดซึ่งถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาที่สุด[5] อย่างไรก็ตามผู้ป่วยต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลหลังการผ่าตัด
ริดสีดวงเป็นโรคใกล้ตัวที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาโรคนี้ ทั้งนี้การใช้ยามีบทบาทอยู่บ้าง แต่มีข้อควรระวังดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น