ยาคุมกำเนิดชั่วคราวชนิดรับประทาน โดยทั่วไปแล้วมี 3 ชนิด คือ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน (emergency contraceptive pills) ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (combined oral contraceptives - COC) และยาคุมกำเนิดชนิดโพรเจสตินเดี่ยว (progestin-only pills - POP) หรือทั่วไปเรียกกันว่ายาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งคนส่วนใหญ่นั้นมักจะคุ้นชินกับยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมมากกว่า เนื่องจากเป็นที่นิยมและมีการใช้มานาน หลายคนอาจไม่รู้จักยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว หรือไม่เข้าใจว่ายาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวแตกต่างกับยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมอย่างไร ในบทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัยว่ายาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวนั้นแตกต่างจากยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมอย่างไร ทั้งในแง่ของการออกฤทธิ์ในการคุมกำเนิด ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด ใครที่เหมาะกับการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดนี้ รวมถึงอาการไม่พึงประสงค์ของยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว
ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวต่างจากยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมตรงที่ยาคุมกำเนิดชนิดนี้ไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) มีแต่ฮอร์โมนโพรเจสติน (progestin) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวที่มีจำหน่ายในประเทศไทยมี 3 ตัวยา ได้แก่ ไลเนสทรีนอล (lynestrenol) ดีโซเจสตรีล (desogestrel) ดรอสไพรีโนน (drospirenone) ดังแสดงในตารางที่ 1 แต่ละตัวยานั้นมีความแตกต่างกัน ดังนี้
ตารางที่ 1 ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวที่มีจำหน่ายในประเทศไทย
ฮอร์โมน |
ชื่อทางการค้า |
ความแรง |
จำนวนเม็ด |
ไลเนสทรีนอล |
Exluton®, Dailyton® |
0.5 mg |
28* |
ดีโซเจสตรีล |
Cerazette® |
0.075 mg |
28* |
ดรอสไพรีโนน |
Slinda® |
4 mg |
24+4** |
การออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ของยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวคล้ายกับยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม กลไกที่สำคัญที่สุดคือการออกฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ ซึ่งในยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมจะมาจากฤทธิ์ของทั้งฮอร์โมนเอสโตรเจนและโพรเจสตินที่ควบคุมระดับฮอร์โมนของร่างกายเพื่อไม่ให้เกิดการตกไข่ แต่ในยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวการออกฤทธิ์นี้มาจากฮอร์โมนโพรเจสตินเพียงอย่างเดียว ส่วนกลไกอื่น ๆ นั้นมาจากกลไกของฮอร์โมนโพรเจสตินที่ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะกับการฝังตัวของตัวอ่อน นอกจากนี้ฮอร์โมนโพรเจสตินยังเพิ่มความข้นหนืดของเมือกที่ปากมดลูก ซึ่งทำให้ไม่เหมาะต่อการเคลื่อนตัวของอสุจิ อีกทั้งยังเพิ่มแรงบีบตัวของท่อนำไข่ ทำให้ไข่ที่ตกแล้วเคลื่อนผ่านท่อนำไข่ได้ยาก จึงลดโอกาสที่อสุจิของเพศชายเข้าผสมกับไข่ของเพศหญิง
เนื่องจากยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวปราศจากฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงไม่ส่งผลต่อการผลิตน้ำนม มีผลข้างเคียงที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดน้อยกว่ายาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน และไม่ส่งผลให้เกิดหลอดเลือดขยายที่ทำให้เกิดการปวดศีรษะไมเกรน จึงเหมาะกับบุคคลเหล่านี้
อย่างไรก็ตามยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว ห้ามใช้ในบุคคลที่มีภาวะเหล่านี้
ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวที่มีฮอร์โมนโพรเจสตินเพียงอย่างเดียว มีประสิทธิภาพในการป้องกันตั้งครรภ์สูงไม่แตกต่างจากยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมที่มีฮอร์โมนทั้งเอสโตรเจนและโพรเจสติน พบว่ามีอัตราความล้มเหลวในการป้องกันการตั้งครรภ์เพียงร้อยละ 0.3 ในการศึกษาทางคลินิก แต่อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดขึ้นอยู่กับความร่วมมือในการใช้ยา การลืมรับประทานยาหรือการรับประทานยาไม่ตรงเวลา ล้วนส่งผลต่อประสิทธิภาพในการป้องกันตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประสิทธิภาพและอาการไม่พึงประสงค์ระหว่างดีโซเจสตรีลและดรอสไพรีโนน พบว่าตัวยาทั้งสองมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดไม่แตกต่างกัน แต่มีความแตกต่างกันในเรื่องของอาการไม่พึงประสงค์
ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวเกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้น้อยกว่ายาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม เนื่องจากไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน อาการไม่พึงประสงค์ที่สามารถพบได้ของฮอร์โมนโพรเจสตินทั้ง 3 ตัวยา คือ อาการผิดปกติของประจำเดือน เช่น มีเลือดออกกะปริบกะปรอย ระยะเวลาในการมีประจำเดือนนานขึ้นหรือสั้นลง หรือไม่มีเลือดประจำเดือนเลย ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หลายคนเป็นกังวลและเลิกใช้ยาคุมกำเนิดชนิดนี้ อีกทั้งปัญหากวนใจที่พบได้บ่อยเช่นกัน คือ การเกิดสิว ขนดก และหน้ามัน ที่เกิดจากฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศชายแอนโดรเจน โดยอาการไม่พึงประสงค์เหล่านี้จะเกิดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของฮอร์โมนโพรเจสตินที่ใช้และขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล นอกจากนี้ยังมีอาการไม่พึงประสงค์อื่น ๆ ที่สามารถพบได้ เช่น คัดตึงเต้านม คลื่นไส้ อาเจียน การเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ น้ำหนักเพิ่มขึ้น ความรู้สึกทางเพศลดลง เป็นต้น ซึ่งผลข้างเคียงเหล่านี้มักเกิดขึ้นในช่วงสองถึงสามเดือนแรกของการรับประทานยาเท่านั้น แต่โดยทั่วไปอาการจะหายไปหลังจากใช้ยาต่อเนื่อง
ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิด อย่างไรก็ตามหากต้องการเริ่มใช้ยาคุมกำเนิดควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อเลือกยาคุมกำเนิดชนิดที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล รวมถึงกรณีที่มีปัญหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับยาคุมกำเนิดควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อให้ได้รับคำแนะนำอย่างถูกต้อง