ผู้ป่วยหญิงมีโรคประจำตัวคือ ไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง ปัจจุบันอายุประมาณ 63 ปี ปีที่แล้วได้รับการรักษาเชื้อราที่เล็บเท้าด้วย Itraconazole pulse therapy จนครบ 6 เดือน แต่ยังไม่หายสนิท ได้รับการรักษาต่อด้วย Terbinafine อีก 3 เดือน ปัจจุบันยังคงมีรอยโรคสีดำที่เล็บเท้าเล็กน้อยและเล็บค่อนข้างขรุขระ ยาที่ทานประจำได้แก่ Atorvastatin(หยุดทานขณะที่ทาน Itraconazole)และยาลดความดันโลหิต(จำไม่ได้) ผู้ป่วยถามว่าควรจะรักษาต่ออย่างไรครับ
ถามโดย เบน เผยแพร่ตั้งแต่ 15/02/2010-12:36:50 -- 3,831 views
คำตอบ
การรักษาอาการติดเชื้อราที่เล็บมักต้องใช้ยาชนิดรับประทาน ซึ่งประสิทธิภาพการรักษาจะดีกว่าการใช้ยาทาภายนอก อย่างไรก็ดีอัตราการล้มเหลวของการรักษาด้วยยารับประทานก็ยังมีสูงอยู่ ยาชนิดรับประทานที่ใช้ในการรักษาการติดเชื้อราที่เล็บโดยส่วนใหญ่ ได้แก่ terbinafine, itraconazole, griseofulvin และ fluconazole ซึ่งยาเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการรักษาที่แตกต่างกันออกไป โดย terbinafine และ itraconazole (pulse therapy) นับว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับการรักษาด้วย griseofulvin หรือ fluconazole
การตรวจสอบประสิทธิภาพในการรักษาการติดเชื้อราที่เล็บโดยส่วนใหญ่ทำได้ค่อนข้างยากเนื่องจากต้องรอให้เล็บใหม่ยาวออกมาก่อนจึงจะทราบว่าการรักษาได้ผลหรือไม่ได้ผล (อาจนานถึง 12 เดือน) ดังนั้นในกรณีนี้แนะนำว่าผู้ป่วยจำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการติดตามผลการรักษารวมถึงตรวจว่ายังมีการติดเชื้ออยู่หรือไม่ ซึ่งการที่เล็บยังขรุขระหรือมีสีดำอยู่เล็กน้อยนั้นอาจไม่มีการติดเชื้อราแล้วก็ได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องรักษาเพิ่มเติม เพียงแต่รอเวลาให้เล็บใหม่งอกมาแทนเท่านั้นครับ
Reference:
1. Goldstein AO, Goldstein BG. Onychomycosis. [Online]. 2009 Nov 30. . In: UpToDate; 2010. [cited 2010 Feb 16].
Keywords:
-
ภูมิคุ้มกันและการติดเชื้อ
ดูคำถามทั้งหมด