MRI แสดงให้เห็นการอุดตันไขมันที่ลดลง เมื่อให้การรักษาด้วย intensive lipid-lowering therapy
ข่าวประจำสัปดาห์ที่ 2 เดือน เมษายน ปี 2552 -- อ่านแล้ว 1,735 ครั้ง
ผลการศึกษา Carotid Plaque Composition โดย ดร. Xue-Qiao Zhao และคณะ พบว่า ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด coronary หรือ carotid artery disease ที่ได้รับการรักษาด้วย intensive statin therapy (ทั้งในแบบ monotherapy หรือ combination ร่วมกับยาอื่น เช่น niacin) มีสัดส่วนของไขมันใน atherosclerotic plaques ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อทำการตรวจวัดด้วย MRI และยังพบด้วยว่า plaque ที่อุดตันอยู่ในหลอดเลือดแดงจะมีขนาดลดลงในช่วงเวลา 2 ปีแรก และเริ่มเข้าสู่ภาวะคงที่ในปีที่ 3 การศึกษาความเปลี่ยนแปลงทางด้านชีววิทยาครั้งนี้ให้ผลสอดคล้องกันกับการศึกษาทางด้านโลหิตวิทยาและการศึกษาใน animal models
อย่างไรก็ตาม MRI เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในงานวิจัย แต่ยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนเพียงพอที่จะนำ MRI มาใช้ในการติดตามผลการรักษาทางคลินิก ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่าควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน plaque กับการดำเนินโรคว่ามีผลต่อกันหรือไม่ อย่างไร ตัวอย่างเช่น เมื่อขนาดหรือสัดส่วนของไขมันใน plaque ลดลง จะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการคงที่ได้ในช่วงระยะเวลา 5 ปี (ระดับคอเลสเตอรอลที่ลดลง จะช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น การอักเสบลดลง และทำหน้าที่ได้ดีตามปกติ ดังนั้น plaque จึงมีความคงตัวมากขึ้น)
ข้อมูลเกี่ยวกับ Carotid Plaque Composition Study
การศึกษาครั้งนี้ มีผู้ป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด coronary หรือ carotid artery disease เข้าร่วม ณ ปัจจุบัน จำนวนทั้งสิ้น 123 ราย (elevated apoB levels – baseline LDL levels 100-190 mg/dL) ที่ผ่านการสุ่มออกเป็น 3 กลุ่มให้รับการรักษาด้วย 1) atorvastatin 10-80 mg 2) atorvastqatin + extended-release niacin 2 g และ 3) atorvastatin + extended-release niacin + colesevelam (a bile-acid-binding agent) เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี พบว่า ผู้ป่วยทั้งสามกลุ่ม มีระดับ LDL และ apoB ลดลงประมาณร้อยละ 50 ระดับของ Triglyceride ลดลงร้อยละ 25-42 และระดับของ HDL เพิ่มขึ้นร้อยละ 12-29 ผู้ป่วยทุกรายผ่านการตรวจวัดด้วย high-resolution, multi-contrast bilateral carotid MRI ณ จุดเริ่มต้น และทุกๆ ปี เป็นระยะเวลานาน 3 ปี (การศึกษานี้ยังอยู่ระหว่างการคัดเลือกผู้ป่วยเพิ่มเติมให้ได้ครบ 180 ราย และคาดว่าการศึกษาทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2555)
