การใช้ยาคุมกำเนิดในหญิงให้นมบุตร
|
รองศาสตราจารย์ ดร. ภญ.วิลาสินี หิรัญพานิช ซาโตะ ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล |
|
| 98 ครั้ง เมื่อ 2 ช.ม.ที่แล้ว | |
| 2025-11-03 |
การคุมกำเนิดหลังคลอดเป็นเรื่องสำคัญที่คุณแม่ที่กำลังให้นมบุตร จำเป็นต้องเลือกใช้วิธีการคุมกำเนิดที่ปลอดภัยต่อทั้งแม่และลูก ไม่กระทบต่อการผลิตน้ำนม และมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์
หลังคลอดแล้วมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนอย่างไร
หลังการคลอดบุตร ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) และโปรเจสเตอโรน (progesterone) จะลดลงทันที ซึ่งเป็นสัญญาณของการสิ้นสุดการตั้งครรภ์ โดยการที่ลูกดูดนมจากเต้านมแม่จะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนโปรแลคติน (prolactin) จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า ซึ่งกระตุ้นการผลิตน้ำนม ยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน Gonadotropin-releasing hormone (GnRH) จากสมองส่วน ไฮโปทาลามัส (hypothalamus) ส่งผลทำให้ยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน LH และ FSH จึงยับยั้งการสร้างไข่และการตกไข่ (ovulation) ดังนั้นการให้ลูกดูดนมแม่จึงเป็นการคุมกำเนิดตามธรรมชาติ ขณะให้ลูกดูดนมคุณแม่จะไม่มีเลือดประจำเดือน (Lactational amenorrhea) และเมื่อหยุดให้นมลูกระดับฮอร์โมน prolactin จะมีระดับลดลง ทำให้กระบวนการตกไข่กลับมาเป็นปกติ หากมีเพศสัมพันธ์จึงทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ซ้ำได้ (1-3)
ฮอร์โมน estrogen มีบทบาทอย่างไรต่อการทำงานของฮอร์โมน prolactin
Estrogen มีบทบาทสำคัญในการควบคุมฮอร์โมน prolactin และกระบวนการให้นมบุตรในทุกช่วงเวลา โดยมีการทำงานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนในแต่ละระยะ ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมในระยะตั้งครรภ์ ระยะให้นมบุตร และหลังหยุดให้นม ได้แก่
ยาคุมกำเนิดแบบใดที่เหมาะสำหรับหญิงให้นมบุตร
เนื่องจากผลของฮอร์โมน estrogen จะมีผลยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน prolactin ดังนั้นขณะให้นมบุตรควรใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวชนิด Progestin-only pills หรือ POP เรียกอีกชื่อว่า "minipill" ซึ่งไม่มีฮอร์โมน estrogen เป็นส่วนประกอบ โดยจัดเป็นทางเลือกหลักเนื่องจากมีความปลอดภัยและไม่กระทบต่อการหลั่งฮอร์โมน prolactin ที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำนม (3,4) ตามคำแนะนำของ Centers for Disease Control and Prevention หรือ CDC ระบุว่าสามารถเริ่มใช้ยาคุมกำเนิดชนิด POP ได้ทันที หรือภายใน 4-6 สัปดาห์หลังคลอด โดยไม่กระทบต่อการผลิตน้ำนม และไม่แนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined contraceptive pills หรือ COC) โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วง 30-42 วันหลังคลอดบุตร เนื่องจากผลของฮอร์โมน estrogen ที่กดการหลั่งฮอร์โมน prolactinและส่งลดลดการผลิตน้ำนม และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (venous thromboembolism) (1)
ยาคุมกำเนิดชนิด POP ออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้อย่างไร
POP หรือ Progestin-only pills มีกลไกการออกฤทธิ์ในการคุมกำเนิดโดยการยับยั้งกระบวนการตกไข่ แต่มีประสิทธิภาพต่ำกว่ายาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมที่มีทั้งฮอร์โมน estrogen และ progestin นอกจากนั้นมีฤทธิ์อื่นได้แก่ ทำให้มูกที่ปากมดลูกข้นเหนียว (cervical mucus thickening) ป้องกันการผ่านของอสุจิ รวมทั้งมีผลลดการเคลื่อนไหวของท่อนำไข่ และทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางลง (endometrial atrophy) ส่งผลลดความพร้อมต่อการฝังตัวของไข่
POP ที่มีในประเทศไทยมียาอะไรบ้าง
ยาในกลุ่ม POP มี 3 ชนิด ได้แก่
1. Lynestrenol ขนาดยาต่อเม็ด 0.5 มก. เป็นยารุ่นที่ 1 (first generation) มีประสิทธิภาพยับยั้งการตกไข่ได้เพียงบางส่วน โดยมีกลไกหลักคือเพิ่มความเหนียวของมูกที่ปากมดลูก ในหนึ่งแผงยาจะมียาจำนวน 28 เม็ด ต้องรับประทานทุกวันวันละเม็ด และมีข้อควรระวังคือต้องรับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน หากลืมทานยาในเวลามากกว่า 3 ชั่วโมง จะลดประสิทธิภาพการคุมกำเนิด เนื่องจากยามีค่าครึ่งชีวิตสั้นประมาณ 8-24 ชม.
2. Desogestrel ขนาดยาต่อเม็ด 0.075 มก. เป็นยารุ่นที่ 3 (third generation) มีประสิทธิภาพยับยั้งการตกไข่ได้เกือบสมบูรณ์ (97-99%) มีข้อดีกว่ายา lynestrenol คือค่าครึ่งชีวิตของยายาวนานขึ้น คือประมาณ 30 ชั่วโมง สามารถลืมทานยาได้นานถึง 12 ชั่วโมงโดยไม่ลดประสิทธิภาพ ในหนึ่งแผงจะมียาจำนวน 28 เม็ด ต้องรับประทานทุกวันวันละเม็ด
หมายเหตุ: เนื่องจากยา lynestrenol และ desogrestrel มีโครงสร้างยาคล้ายฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอรอน (testosterone) จึงพบผลข้างเคียงจากฮอร์โมนชาย เช่น หน้ามัน เป็นสิว กินจุ ผิวหนังหยาบกร้าน โดยเฉพาะพบมากในยารุ่นแรกคือ lynestrenol
3. Drospirenone ขนาดยาต่อเม็ด 3 มก. เป็นยารุ่นที่ 4 (fourth generation) มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการตกไข่ได้สมบูรณ์ โดยมีค่าครึ่งชีวิตนานประมาณ 30 ชั่วโมง มีข้อเด่นกว่ายาชนิดอื่นในกลุ่ม POP คือมีฤทธิ์ลดการบวมน้ำ (anti-mineralocorticoid) และช่วยลดฤทธิ์จากฮอร์โมนเพศชาย (anti-androgen) จึงช่วยลดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น สิว หน้ามัน และผิวหยาบได้ และเนื่องจากยามีค่าครึ่งชีวิตนานจึงสามารถลืมทานยาได้ถึง 24 ชั่วโมง แต่มีข้อควรระวังคือต้องหลีกเลี่ยงการใช้ยาในผู้ที่มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดระดับสูง (hyperkalemia) หรือกำลังรับประทานยากลุ่ม ACEIs, ARBs, spironolactone ซึ่งทำให้ระดับ potassium ในเลือดสูงเช่นกัน ยาคุมกำเนิดชนิดนี้ในหนึ่งแผงจะมียาจำนวน 24 เม็ด และจะมีอีก 4 เม็ดที่ไม่มียา (hormone free interval)
ทำอย่างไรหากลืมการรับประทานยาคุมกำเนิดแบบ POP
1. กรณีลืมทานยาในเวลาที่กำหนด การรับประทานยาคุมกำเนิดกลุ่มนี้ควรทานทุกวันเวลาเดียวกันสำหรับ lynestrenol และ desogestrel ในแผงจะมี 28 เม็ด ทุกเม็ดจะมียาฮอร์โมนทั้งหมดไม่มีเม็ดแป้ง ให้รับประทานต่อเนื่องทุกวันห้ามหยุดระหว่างแผง กรณีลืมรับประทานยา lynestrenol ให้ทานภายใน 3 ชั่วโมง desogestrel ภายใน 12 ชั่วโมง และ drospirenone ภายใน 24 ชั่วโมง โดยสามารถรับประทานทันทีที่นึกได้ ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีป้องกันเพิ่มเติม และรับประทานยาเม็ดต่อไปตามเวลาปกติ กรณีอาเจียนหรือท้องเสียภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังรับประทานยาให้รับประทานเพิ่มทันที (4)
2. กรณีลืมทานยานานกว่าเวลากำหนด รับประทานยาที่ลืมทันที (หากลืมหลายเม็ด ให้กินเพียงเม็ดเดียว) และรับประทานยาเม็ดต่อไปตามเวลาปกติ (แม้จะต้องกินวันละ 2 เม็ดในวันเดียวกัน คือเม็ดที่ลืมและเม็ดของวันปัจจุบัน) งดเพศสัมพันธ์หรือใช้ถุงยางอนามัยเป็นเวลา 48 ชั่วโมงหลังจากเริ่มทานยาต่อเพราะประสิทธิภาพของยาจะลดลง และหากมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 2 วันหลังลืมทานยา อาจพิจารณารับประทานยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินหากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และตรวจการตั้งครรภ์หากสงสัย
อาการไม่พึงประสงค์ที่อาจพบได้แก่อาการใดบ้าง
อาการไม่พึงประสงค์ทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับกลไกทางเภสัชวิทยา (5,6) ได้แก่
- อาการเลือดออกกะปริบกะปรอย: สาเหตุจากการยับยั้งการตกไข่บางส่วนทำให้ระดับฮอร์โมน estrogen ไม่คงที่ซึ่งพบได้มากใน lynestrenol
- ภาวะไม่มีประจำเดือน ซึ่งมีสาเหตุจากการยับยั้งการตกไข่ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกคงตัวไม่เกิดการลอกตัวเป็นเลือดประจำเดือน ซึ่งพบได้บ่อยใน desogestrel และ drospirenone
- สิวและผิวมันและการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ สาเหตุจากฤทธิ์ androgenic พบมากใน lynestrenol
ใครที่ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดแบบ POP
ไม่ควรใช้ POP ในหญิงให้นมบุตรที่สงสัยตั้งครรภ์ โรคตับรุนแรง มะเร็งเต้านม มีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือมีการแพ้ส่วนประกอบยา
นอกจากยาคุมกำเนิดแบบ POP แล้วมีวิธีใดบ้างที่ใช้คุมกำเนิดในหญิงให้นมบุตร
วิธีอื่นได้แก่ การใช้ถุงยางอนามัย ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน การใส่ห่วงอนามัย (IUD) แบบทองแดง การฉีดยาคุมกำเนิด
เมื่อไรหญิงให้นมบุตรจึงสามารถเปลี่ยนมาใช้การใช้ยาคุมแบบฮอร์โมนรวม (COC) ได้
ตามแนวทางของ CDC guidelines (1) ไม่แนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิดแบบ COC ที่มี estrogen เป็นส่วนประกอบโดยเฉพาะในช่วง 21-30 วันหลังคลอด หากกำลังให้นมบุตร เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือดอุดตันและอาจลดปริมาณน้ำนมเนื่องจากยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน prolactin การศึกษาจาก WHO Task Force พบว่า COC ทำให้ปริมาณน้ำนมและพลังงานรวมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของน้ำนมอย่างมีนัยสำคัญ (5) ยาคุมกำเนิดแบบ COC ไม่ควรใช้ในช่วง 4-6 สัปดาห์หลังคลอด แต่สามารถเปลี่ยนมาใช้ COC ได้เมื่อคลอดบุตรมากกว่า 6 เดือน หรือเมื่อหยุดให้นมแล้ว
ข้อสรุปสำหรับการใช้ยาคุมกำเนิดในหญิงให้นมบุตร คือ ต้องเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดโปรเจสตินเดี่ยวเป็นทางเลือกหลักโดยเฉพาะยารุ่นใหม่ได้แก่ desogestrel หรือ drospirenone ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าและมีเวลาลืมรับประทานยาได้นานกว่ายารุ่นแรกอย่าง lynestrenol และห้ามใช้ยาคุมที่มีเอสโตรเจน ในช่วงให้นมบุตร โดยเฉพาะช่วง 6 สัปดาห์แรกหลังคลอดเพราะจะส่งผลเสียในการกดการผลิตน้ำนมและเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ทั้งนี้ในการรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยว ต้องเน้นเรื่องการมีวินัยในการรับประทานยาให้ตรงเวลาและต่อเนื่องทุกวัน หากพบปัญหาให้หยุดยาและปรึกษาแพทย์ทันที
|
โรคไหลตายในทารก!! ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม 1 วินาทีที่แล้ว |
|
เมื่อสูงวัย...ร่างกายเปลี่ยน...แล้วผลการรักษาของยาล่ะ...เปลี่ยนด้วยไหม 12 วินาทีที่แล้ว |
|
ยาทาภายนอกรักษาโรคเชื้อรา : ยารักษากลากและเกลื้อน 22 วินาทีที่แล้ว |
|
หยุดคิดสักนิด…ก่อนคิดฝ่าไฟแดง 38 วินาทีที่แล้ว |
|
Sleep Apnea : ง่วง นอนกรน นอนไม่อิ่ม 45 วินาทีที่แล้ว |
|
อันตรกิริยาระหว่างส้มโอกับยา (ตอนที่ 1) 1 นาทีที่แล้ว |
|
เชื้อโปรโตซัว และจิตเภท 1 นาทีที่แล้ว |
|
ยาแก้ปวดข้อ ใช้รักษาข้อเสื่อม ใช้อย่างไร? 2 นาทีที่แล้ว |
|
ท้องผูกและการใช้ยาระบาย 2 นาทีที่แล้ว |
|
อาหารอุ่นด้วยเตาไมโครเวฟ อันตรายหรือไม่ 2 นาทีที่แล้ว |
|
|
ที่เกี่ยวข้อง
หน่วยงานภายในคณะฯ
HTML5 Bootstrap Font Awesome