โรคจีซิกพีดีหรือโรคพร่องเอนไซม์จีซิกพีดี ผู้ป่วยมีเม็ดเลือดแดงที่แตกง่ายกว่าคนปกติเมื่อได้รับสิ่งกระตุ้นบางอย่าง เช่น โรคติดเชื้อ ยา อาหาร สารเคมี บางชนิด ผู้ป่วยโรคจีซิกพีดีจึงควรหลีกเลี่ยงจากสิ่งกระตุ้นเหล่านั้น ในบทความนี้ให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโรคจีซิกพีดี บทบาทของเอนไซม์จีซิกพีดีในการปกป้องเม็ดเลือดแดงไม่ให้แตก สิ่งที่กระตุ้นให้เม็ดเลือดแดงแตกซึ่งผู้ป่วยโรคจีซิกพีดีควรหลีกเลี่ยง และข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคจีซิกพีดีเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก
โรคจีซิกพีดี
โรคจีซิกพีดีหรือโรคพร่องเอนไซม์จีซิกพีดี (G6PD deficiency หรือ glucose-6-phosphate dehydrogenase deficiency) เป็นโรคทางพันธุกรรมที่มีการกลายพันธุ์ของยีนที่สร้างเอนไซม์จีซิกพีดี ทำให้ได้เอนไซม์ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานน้อยกว่าปกติ เอนไซม์จีซิกพีดีมีบทบาทในการช่วยปกป้องเม็ดเลือดแดงไม่ให้แตกง่าย ผู้ป่วยโรคจีซิกพีดีจึงเสี่ยงต่อการเกิดโรคโลหิตจางเนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตก โดยเฉพาะเมื่อได้รับสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดภาวะเครียดจากออกซิเดชัน (oxidative stress) เช่น โรคติดเชื้อ ยา อาหาร สารเคมี บางชนิด (ดูรายละเอียดในหัวข้อ
"สิ่งที่กระตุ้นให้เม็ดเลือดแดงแตกซึ่งผู้ป่วยโรคจีซิกพีดีควรหลีกเลี่ยง") โรคจีซิกพีดีถ่ายทอดทางพันธุกรรมผ่านโครโมโซมเอ็กซ์และเป็นลักษณะด้อย ผู้ป่วยส่วนใหญ่ (ราว 90%) จึงเป็นเพศชาย ทั่วโลกพบผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์จีซิกพีดีได้ราว 400 ล้านคน พบมากแถบแอฟริกา ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และเอเชีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายชาวแอฟริกัน ผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์จีซิกพีดีส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการและสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติตลอดชีพ เว้นแต่จะได้รับสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดภาวะเครียดจากออกซิเดชัน ทารกแรกเกิดที่มีภาวะพร่องเอนไซม์จีซิกพีดีอย่างรุนแรงจะเกิดภาวะตัวเหลืองเนื่องจากมีบิลิรูบินในเลือดสูง (hyperbilirubinemia) และโลหิตจางเนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลัน (acute hemolytic anemia) ส่วนในผู้ใหญ่จะเกิดโลหิตจางเนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตก ตัวซีด ปัสสาวะสีคล้ำ ดีซ่าน (ภาวะตัวเหลืองตาเหลือง) หัวใจเต้นเร็ว หายใจหอบ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เป็นต้น ภาวะพร่องเอนไซม์จีซิกพีดียังเกี่ยวข้องกับโรคทางพันธุกรรมที่เม็ดเลือดแดงมีอายุสั้นกว่าปกติเนื่องจากแตกง่าย (hereditary non-spherocytic hemolytic disease) และหากมีการสร้างเม็ดเลือดแดงมาทดแทนไม่ทันจะทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ เอนไซม์จีซิกพีดีไม่ได้พบเฉพาะในเม็ดเลือดแดง ยังพบในเซลล์ชนิดอื่น ๆ ทั่วร่างกาย แต่เม็ดเลือดแดงจะไวต่อภาวะพร่องเอนไซม์นี้มากกว่าเซลล์ชนิดอื่น ด้วยเหตุนี้โรคจีซิกพีดีจึงอาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติอื่นได้หลายอย่างเพียงแต่ไม่แสดงอาการที่ชัดเจน
เหตุใดเม็ดเลือดแดงของผู้ป่วยโรคจีซิกพีดีจึงแตกง่าย?
ที่เม็ดเลือดแดงเอนไซม์จีซิกพีดีมีบทบาทสำคัญในขั้นตอนแรกของวิถีเพนโตสฟอสเฟต (pentose phosphate pathway) ซึ่งขั้นตอนนี้มีสารเอ็นเอดีพีเอช (NADPH หรือ reduced nicotinamide adenine dinucleotide phosphate) เกิดขึ้น สารนี้จะเปลี่ยนกลูตาไทโอนให้อยู่ในรูปรีดิวซ์กลูตาไทโอน (reduced glutathione) และรีดิวซ์กลูตาไทโอนนี้เองที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเม็ดเลือดแดงจากสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดภาวะเครียดจากออกซิเดชัน ซึ่งสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดภาวะเครียดจากออกซิเดชันจะสร้างอนุพันธ์ออกซิเจนที่ว่องไว (reactive oxygen species) เป็นอันตรายต่อเยื่อหุ้มเซลล์ของเม็ดเลือดแดงและทำให้ฮีโมโกลบินเสียสภาพ กลายเป็นเม็ดเลือดแดงมีรูปร่างผิดปกติและแตกง่าย รีดิวซ์กลูตาไทโอนช่วยกำจัดอนุพันธ์ออกซิเจนที่ว่องไวนั้นโดยเกิดปฏิกิริยากัน โดยปกติแล้วเอนไซม์จีซิกพีดีทำงานราว 2% ของขีดความสามารถเต็มที่ ดังนั้นในภาวะพร่องเอนไซม์จีซิกพีดีโดยทั่วไปจึงไม่แสดงอาการผิดปกติ แต่ถ้ามีภาวะเครียดจากออกซิเดชันเกิดขึ้นเอนไซม์นี้ต้องทำงานเพิ่มขึ้นเพื่อปกป้องเม็ดเลือดแดง ในผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์อย่างรุนแรงอาจไม่สามารถปกป้องเม็ดเลือดแดงจากสิ่งกระตุ้น ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกและหากการสร้างเม็ดเลือดแดงเกิดขึ้นไม่ทันจะนำไปสู่ภาวะโลหิตจางได้
ผู้ป่วยโรคจีซิกพีดีไวต่อสิ่งกระตุ้นได้แตกต่างกัน
ความหลากหลายในพันธุกรรมของเอนไซม์จีซิกพีดีมีมากกว่า 300 แบบ ทำให้สร้างเอนไซม์จีซิกพีดีที่มีประสิทธิภาพในการทำงานแตกต่างกัน อาจทำงานได้น้อยกว่าปกติ ทำงานปกติ หรือทำงานมากกว่าปกติ ทั่วโลกมีประชากรราว 400 ล้านคนที่มีภาวะพร่องเอนไซม์จีซิกพีดี (เอนไซม์ทำงานได้น้อยกว่าปกติ) ในบรรดาบุคคลเหล่านี้ระดับความรุนแรงของภาวะพร่องของเอนไซม์ยังมีมากหรือน้อยต่างกันไป ด้วยเหตุนี้ผู้ป่วยโรคจีซิกพีดีจึงไวต่อสิ่งกระตุ้นให้เม็ดเลือดแดงแตกได้แตกต่างกัน
สิ่งที่กระตุ้นให้เม็ดเลือดแดงแตกซึ่งผู้ป่วยโรคจีซิกพีดีควรหลีกเลี่ยง
ดังได้กล่าวข้างต้นแล้วว่าภาวะเครียดจากออกซิเดชันสามารถกระตุ้นให้เม็ดเลือดแดงของผู้ป่วยโรคจีซิกพีดีแตกได้ ซึ่งความรุนแรงของภาวะเม็ดเลือดแดงแตกนอกจากขึ้นกับระดับความพร่องของเอนไซม์จีซิกพีดีแล้ว ยังขึ้นกับชนิดและปริมาณของสิ่งกระตุ้นด้วย ตัวอย่างสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดภาวะเครียดจากออกซิเดชันซึ่งผู้ป่วยโรคจีซิกพีดีควรหลีกเลี่ยง แบ่งเป็นกลุ่มได้ดังนี้
- โรคติดเชื้อ ไม่ว่าจะเกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส หรือรา ล้วนทำให้เกิดอนุพันธ์ออกซิเจนที่ว่องไว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิกิริยาการตอบสนองของร่างกายผ่านกระบวนการอักเสบที่เกิดขึ้น ตัวอย่างโรคติดเชื้อที่เป็นสาเหตุและพบบ่อย เช่น โรคไวรัสตับอักเสบเอ โรคไวรัสตับอักเสบบี โรคติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัส (cytomegalovirus infection) โรคปอดอักเสบ โรคไข้ไทฟอยด์
- ยา ผู้ป่วยโรคจีซิกพีดีมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์เกี่ยวกับภาวะเม็ดเลือดแดงแตก เมื่อได้รับยาที่กระตุ้นให้เกิดภาวะเครียดจากออกซิเดชัน ยาแต่ละชนิดมีศักยภาพในการกระตุ้นให้เกิดภาวะเครียดจากออกซิเดชันได้มากน้อยต่างกัน ระดับคำแนะนำในการใช้ยาจึงแตกต่างกันไปขึ้นกับชนิดยา (และระดับความพร่องของเอนไซม์จีซิกพีดีในผู้ป่วยแต่ละราย) อาจแนะนำให้หลีกเลี่ยงหรือใช้อย่างระมัดระวัง ตัวอย่างยาที่ผู้ป่วยโรคจีซิกพีดีควรหลีกเลี่ยง เช่น แดปโซน (dapsone), พริมาควิน (primaquine), ซัลฟานิลาไมด์ (sulfanilamide), ไนโทรฟูแรนโทอิน (nitrofurantoin), เมทีลีนบลู (methylene blue), เฟนาโซไพริดีน (phenazopyridine) สามารถดูรายชื่อยาเพิ่มเติมในตาราง
- อาหาร เช่น ถั่วบางชนิด โดยเฉพาะถั่วปากอ้าหรือถั่วฟาวา (fava beans, broad beans หรือ horse beans ชื่อวิทยาศาสตร์: Vicia faba) นอกจากนี้อาจมีถั่วชนิดอื่น ๆ รวมถึงถั่วลิสงด้วย ส่วนอาหารประเภทอื่นที่ต้องระวัง เช่น บลูเบอรี่ นอกจากอาหารแล้วสิ่งที่เติมลงในอาหาร ไม่ว่าจะเป็นสารถนอมอาหาร เช่น สารประเภทซัลไฟต์ (ที่ใส่ในขนมขบเคี้ยว อาหารหรือน้ำผลไม้บรรจุกระป๋อง ไส้กรอก เป็นต้น) หรือสารปรุงแต่งอื่น ๆ เช่น สีผสมอาหาร อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะเครียดจากออกซิเดชันได้เช่นกัน
การแพ้ถั่วปากอ้า (favism) เป็นที่กล่าวถึงกันมานาน ในผู้ที่แพ้หากมีการบริโภค (หรือบางรายแม้แต่สูดละอองเกสร) อาจเกิดภาวะโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตกแบบเฉียบพลันได้ ในถั่วปากอ้ามีสารวิซีน (vicine) และคอนวิซีน (convicine) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มไพริมิดีนไกลโคไซด์ (pyrimidine glycosides) สารเหล่านี้ถูกเอนไซม์กลูโคซิเดส (glucosidase) ที่มีในเมล็ดถั่วและในทางเดินอาหารเปลี่ยนเป็นไดวิซีน (divicine) และไอโซยูรามิล (isouramil) ซึ่งไปกระตุ้นให้เกิดภาวะเครียดจากออกซิเดชันได้ อีกทั้งอาจมีผลโดยตรงต่อเม็ดเลือดแดงด้วย (วิซีนเปลี่ยนเป็นไดวิซีน และคอนวิซีนเปลี่ยนเป็นไอโซยูรามิล) ถั่วปากอ้าที่มาจากแหล่งปลูกต่างกันตลอดจนกรรมวิธีการปรุงอาหารที่ต่างกัน จะทำให้มีสารไกลโคไซด์ในปริมาณต่างกันได้
- สารเคมีเช่น เมนทอล (menthol) ซึ่งพบในขนมประเภทลูกอมและในยาสีฟัน, การบูร (camphor), แนปทาลีน (naphthalene) ที่นำมาทำลูกเหม็น (mothballs), แนปทอล (naphthol) ในยาย้อมผม, อะนิลีน (aniline) ที่ใช้ทำหมึกพิมพ์ สีย้อม และยังนำไปใช้ในการสังเคราะห์สารอื่นได้หลายอย่าง, เฮนนา (henna) ที่นำมาย้อมผมหรือทำให้เกิดรอยสัก (tattoo), โทลูอิดีนบลู (toluidine blue) ที่ใช้เป็นสีย้อมเซลล์ในห้องปฏิบัติการ
ข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคจีซิกพีดี
- หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดภาวะเครียดจากออกซิเดชัน ไม่ว่าจะเป็นยา อาหาร หรือสารเคมี (ดูหัวข้อ "สิ่งที่กระตุ้นให้เม็ดเลือดแดงแตกซึ่งผู้ป่วยโรคจีซิกพีดีควรหลีกเลี่ยง") ผู้ป่วยโรคจีซิกพีดีส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการผิดปกติเลยหากไม่ได้รับสิ่งกระตุ้น
- ดูแลสุขภาพร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อ และหากมีไข้ให้รีบเข้ารับการรักษา พร้อมทั้งแจ้งแพทย์และเภสัชกรให้ทราบว่าตนเองมีภาวะพร่องเอนไซม์จีซิกพีดี เพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับยาที่อาจเป็นอันตราย
- หากมีอาการผิดปกติที่สงสัยว่าอาจเกิดจากเม็ดเลือดแดงแตก โดยเฉพาะหลังการรับประทานยา เช่น ปัสสาวะมีสีคล้ำ เกิดภาวะซีด หายใจหอบ ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการและวินิจฉัย อาจมีการปรับเปลี่ยนยา ในกรณีที่เกิดจากยาอาการจะดีขึ้นเมื่อหยุดใช้ยานั้น
- ควรบริโภคอาหารที่มีประโยชน์และบริโภคอย่างครบถ้วน ไม่เลือกบริโภคเฉพาะอาหารที่ชอบ เพราะจะขาดความสมดุลของสารอาหาร ซึ่งสารอาหารบางอย่างช่วยต้านการเกิดภาวะเครียดจากออกซิเดชัน
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป และการสูบบุหรี่
- การออกกำลังกายช่วยลดภาวะเครียดจากออกซิเดชัน แต่อย่าออกกำลังกายอย่างหักโหม เพราะจะเพิ่มการใช้ออกซิเจนอย่างมากและกล้ามเนื้อทำงานหนัก จนอาจชักนำให้เกิดภาวะเครียดจากออกซิเดชัน (exercise-induced oxidative stress) ได้เช่นกัน นอกจากนี้เอนไซม์จีซิกพีดีในเซลล์กล้ามเนื้อของผู้ป่วยจะมีประสิทธิภาพน้อยกว่าปกติด้วย จึงอาจเกิดอันตรายต่อกล้ามเนื้อได้ ด้วยเหตุนี้จึงควรออกกำลังกายแต่พอสมควร
เอกสารอ้างอิง
- Belfield KD, Tichy EM. Review and drug therapy implications of glucose-6-phosphate dehydrogenase deficiency. Am J Health Syst Pharm 2018; 75:97-104.
- Devi AS, Kodi M, Devi AM. Living with glucose-6-phosphate dehydrogenase deficiency. J Nurs Sci Pract 2016; 6:23-30.
- Richardson SR, O'Malley GF. Glucose 6 phosphate dehydrogenase (G6PD) deficiency. In: StatPearls. Treasure Island (FL): StatPearls Publishing, 2020. Accessed: February 2020.
- Harcke SJ, Rizzolo D, Harcke HT. G6PD deficiency: an update. JAAPA 2019; 32(11):21-6.
- Khan TA, Mazhar H, Nawaz M, Kalsoom K, Ishfaq M, Asif H, et al. Expanding the clinical and genetic spectrum of G6PD deficiency: the occurrence of BCGitis and novel missense mutation. Microb Pathog 2017; 102:160-5.
- Stone SN, Reisig KV, Saffel HL, Miles CM. Management of athletes with G6PD deficiency: does missing an enzyme mean missing more games? Sports Health 2020; 12:149-53.
- La Vieille S, Lefebvre DE, Khalid AF, Decan MR, Godefroy S. Dietary restrictions for people with glucose-6-phosphate dehydrogenase deficiency. Nutr Rev 2019; 77:96-106.
- Luzzatto L, Arese P. Favism and glucose-6-phosphate dehydrogenase deficiency. N Engl J Med 2018; 378:1060-71.
- Bubp J, Jen M, Matuszewski K. Caring for glucose-6-phosphate dehydrogenase (G6PD)-deficient patients: implications for pharmacy. P&T 2015; 40:572-4.
- World Health Organization. Updating the WHO G6PD classification of variants and the International Classification of Diseases, 11th Revision (ICD-11). WHO/CDS/GMP/MPAC/2019.15. Accessed: February 2020.
- Georgakouli K, Fatouros IG, Draganidis D, Papanikolaou K, Tsimeas P, Deli CK, et al. Exercise in glucose-6-phosphate dehydrogenase deficiency: harmful or harmless? A narrative review. Oxid Med Cell Longev 2019. doi:10.1155/2019/8060193. Accessed: February 2020.