เพื่อพัฒนาเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น โปรดสละเวลา 1 นาที ในการตอบแบบสอบถามจากเรา Click !!

บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน


ไขมันในเลือดสูง แม้ผอมหุ่นเพรียว .. ทำไม ??


รองศาสตราจารย์ ดร.ภญ.ศรีจันทร์ พรจิราศิลป์ (สอบทานความสมบูรณ์และถูกต้อง : รศ.ดร.ภก.ศุภโชค มั่งมูล) ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล


ภาพประกอบจาก: http://images.shape.mdpcdn.com/sites/sha...k=uXPgPAve
อ่านแล้ว 92,424 ครั้ง  
ตั้งแต่วันที่ 11/05/2559
อ่านล่าสุด 2 ช.ม.ที่แล้ว

Scan เพื่ออ่านบนมือถือของคุณ
 


คงมีหลายคนที่รูปร่างสวยเพรียว หรือ ผอม แต่เมื่อตรวจร่างกายพบว่ามีไขมันในเลือดสูง ทำให้สงสัยว่า ตรวจผิดหรือเปล่า มันไม่น่าเป็นเช่นนี้ ผู้เขียนอยากเรียนว่า คนที่รูปร่างสวยเพรียว หรือ ผอมก็มีไขมันในเลือดสูงได้ … ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ??? 
ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านว่า การที่เราบอกว่าคนๆหนึ่งมีรูปร่างสวยเพรียว หรือ ผอมนั้น เรามองจากรูปลักษณ์ภายนอก และประเมินด้วยสายตาว่าคนๆนั้นมีไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังในส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่มาก แต่ไขมันในเลือดเป็นส่วนของไขมันที่ละลายอยู่ในกระแสเลือด เป็นคนละส่วนกับไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ฉะนั้นคนอ้วนจึงไม่จำเป็นต้องมีไขมันในเลือดสูงเสมอไป และ คนผอมก็อาจจะมีไขมันในเลือดสูง ได้ 
ไขมันในร่างกายประกอบด้วย ไขมันในหลอดเลือด ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง และไขมันในช่องท้อง 
ไขมันเหล่านี้มาจากไหนไขมันในร่างกายมาจาก 2 แหล่งด้วยกัน คือ จากอาหารที่บริโภคและ จากการที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง ไขมันจะถูกนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงาน นำไปสร้างฮอร์โมน นำไปสร้างน้ำดีเพื่อช่วยในการดูดซึมอาหารไขมัน และ ใช้เป็นส่วนประกอบในการสร้างเนื้อเยื่อของเซลล์ 
ไขมันในเลือด อยู่ในรูปไลโปโปรตีน คือ เป็นสารประกอบของไขมันและโปรตีน ซึ่งไลโปโปรตีนที่อยู่ในเลือดสามารถผสมเข้ากันกับส่วนประกอบต่างๆของเลือดได้ ส่วนของไขมันไลโปโปรตีนมีทั้งที่เป็น โคเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ฟอสโฟลิปิด และ กรดไขมันอิสระ ไขมันแต่ละชนิดมีหน้าที่ต่างๆกัน คือ โคเลสเตอรอลเป็นไขมันที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ และได้รับจากอาหารที่รับประทาน ไขมันชนิดนี้เป็นสารตั้งต้นที่นำไปสร้างน้ำดี เพื่อช่วยในการดูดซึมอาหารไขมันและใช้สร้างฮอร์โมนบางชนิด ไตรกลีเซอไรด์เป็นไขมันอีกชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองได้และได้จากอาหารที่รับประทานเข้าไปโดยเฉพาะอาหารจำพวกแป้ง หรืออาหารที่มีรสหวาน ไขมันชนิดนี้เป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายสะสมไว้ใช้ ฟอสโฟลิปิดเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ ส่วนกรดไขมันอิสระเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย 
ไลโปโปรตีนแบ่งตามความหนาแน่นของโมเลกุลได้เป็นหลายชนิด แต่ที่เรารู้จักกันดี คือ

  • แอลดีแอล (Low density lipoprotein – LDL) เป็น ไลโปโปรตีนที่มีโคเลสเตอรอลประกอบอยู่ถึง 60% ไลโปโปรตีนชนิดนี้จึงมีหน้าที่นำเอาโคเลสเตอรอลไปยังเซลล์ที่ต้องการใช้โคเลสเตอรอล แต่หากมีไขมันชนิดนี้ในเลือดสูงจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และหากมีโรคเบาหวานหรือมีโรคหัวใจร่วมด้วยความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดจะเพิ่มขึ้น
  • วีแอลดีแอล (Very low density lipoprotein – VLDL) เป็น ไลโปโปรตีนที่สร้างจากตับประกอบด้วยไตรกลีเซอไรด์ 45-60% จึงมีหน้าที่นำไตรกลีเซอไรด์ไปเนื้อเยื่อต่างๆ เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานโดยเอมซัยม์ LPL จะสลาย ไตรกลีเซอไรด์ใน VLDL ให้เป็นกรดไขมันอิสระที่พร้อมจะถูกใช้เป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย ภาวะ VLDL ในเลือดสูงก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดเช่นกัน
  • เอชดีแอล (High density lipoprotein – HDL) เป็นไขมันที่ดีต่อร่างกาย มีหน้าที่นำโคเลสเตอรอลที่สะสมตามผนังหลอดเลือดหรือที่เนื้อเยื่ออื่นๆไปทำลายที่ตับ ดังนั้นถ้าระดับ HDL ในเลือดสูง จะทำให้อัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจลดลง การออกกำลังกายทำให้ค่า HDL ในเลือดเพิ่มมากขึ้นได้

จะเห็นได้ว่าร่างกายมีทั้งกระบวนการสร้างและย่อยสลายไขมัน ตลอดจนกระบวนการนำไขมันที่สะสมในบริเวณที่ไม่สมควรกลับเข้าสู่ตับ แต่ภาวะไขมันในเลือดสูงก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ปัจจุบันภาวะไขมันในเลือดสูงจัดเป็นหนึ่งภาวะของกลุ่มอาการอ้วนลงพุง (Metabolic Syndrome ซึ่งประกอบด้วย ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และ ภาวะไขมันในเลือดสูง) ฉะนั้นคนอ้วน (สตรีที่มีเส้นรอบเอวมากกว่าหรือเท่ากับ80 เซนตเมตร และผู้ชายที่มีเส้นรอบเอวมากกวาหรือ เท่ากับ 90เซนติเมตร) ก็น่าจะมีโอกาสเกิดภาวะไขมันในเลือดสูงได้มากกว่า ทั้งนี้เพราะไขมันในช่องท้องจะทำให้เกิดกลไกการเผาผลาญน้ำตาลที่ผิดปกติมากกว่าไขมันที่กระจายอยู่บริเวณอื่นในร่างกาย ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ จึงมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น และเมื่อเป็นโรคเบาหวานก็จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูงและภาวะไขมันในเลือดสูงด้วย 
ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง เกิดจากการสะสมของน้ำตาลที่แปรสภาพเป็นไขมัน แล้วไปเกาะอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย หรือที่เห็นเป็นชั้นหนา ๆของไขมันบริเวณหน้าท้องนั่นเอง ไขมันชั้นนี้ไม่ส่งผลให้เกิดอันตรายร้ายแรงมากนัก เพราะเป็นไขมันที่สามารถกำจัดได้ง่ายกว่าไขมันในส่วนอื่น 
ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ก็เป็นไขมันใต้ชั้นผิวหนังเช่นกัน เกิดจากการสะสมตัวของสารอาหารประเภทไขมันในอาหารที่ร่างกายเผาผลาญเป็นพลังงานไม่หมด ทำให้ไปเกาะอยู่ตามบริเวณระหว่างกล้ามเนื้อท้องกับอวัยวะภายในช่องท้องในลักษณะแทรกตัวอยู่ตามเนื้อเยื่อของเซลล์ต่าง ๆ ฉะนั้นเมื่อมองจากภายนอกแล้วเห็นเป็นหน้าท้องยื่นออกมา แต่ถ้าหากลองอัลตร้าซาวด์ดูจะพบว่าอวัยวะภายในถูกห่อหุ้มไว้ด้วยถุงไขมันสีเหลือง ไขมันในช่องท้องเป็นไขมันที่อันตรายมากเมื่อเทียบกับไขมันบริเวณอื่นของร่างกาย เพราะไขมันชนิดนี้จะสลายตัวเป็นกรดไขมันอิสระ สามารถละลายเข้าสู่กระแสเลือดไปสะสมตามอวัยวะต่าง ๆ ดังเช่นการไปสะสมที่ตับจนเกิดภาวะไขมันพอกตับ เป็นต้น นอกจากนี้ไขมันในช่องท้อง ยังเผาผลาญออกให้หมดยากกว่าไขมันในบริเวณอื่นด้วย ผลเสียที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งคือกรดไขมันอิสระในกระแสเลือดที่เพิ่มขึ้นจะไปยับยั้งกระบวนการเผาผลาญของกลูโคสที่กล้ามเนื้อ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ความดันโลหิตสูง 
จากชนิดต่างๆของไขมันจะเห็นได้ว่า การที่จะบอกว่าคนๆหนึ่งผอมหรืออ้วน ประเมินจากการสะสมของไขมันใต้ชั้นผิวหนัง และไขมันในช่องท้อง แต่การจะบอกว่าคนๆหนึ่งมีไขมันในเลือดสูงหรือไม่นั้น ไม่สามารถประเมินด้วยตาเปล่า ต้องรับการตรวจทางห้องปฏิบัติการจึงจะทราบว่ามีไขมันในเลือดสูงหรือไม่ 
นั่นคือ คนผอม หุ่นดีก็มีภาวะไขมันในเลือดสูงได้เช่นกัน 
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยาลดไขมันในเลือดได้จากบทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน เรื่อง ยาลดไขมันในเลือด 
 

แหล่งอ้างอิง/ที่มา
  1. http://www.anamai.moph.go.th/occmed/hburee/lipidguideline.html access 26/04/20162.
  2. บทความจาก website สสส เรื่อง ไขมันช่องท้อง อันตรายอย่างไร access 26/04/2016
  3. บทความจาก website สสส เรื่อง ความรู้เรื่องไขมันในร่างกาย access 26/04/2016


บทความที่ถูกอ่านล่าสุด



อ่านบทความทั้งหมด



ข้อจำกัดด้านลิขสิทธิ์บทความ:
บทความในหน้าที่ปรากฎนี้สามารถนำไปทำซ้ำเพื่อเผยแพร่ในเว็บไซต์ หรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ โดยไม่มีวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์ได้ ทั้งนี้การนำไปทำซ้ำนั้นยังคงต้องปรากฎชื่อผู้แต่งบทความ และห้ามตัดต่อหรือเรียบเรียงเนื้อหาในบทความนี้ใหม่โดยเด็ดขาด และกรณีที่ท่านได้นำบทความนี้ไปใช้ในเว็บเพจของท่าน ให้สร้าง Hyperlink เพื่อสร้าง link อ้างอิงบทความนี้มายังหน้านี้ด้วย

-

 ปรับขนาดอักษร 

+

คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

447 ถนนศรีอยุธยา แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400

ดูเบอร์ติดต่อหน่วยงานต่างๆ | ดูข้อมูลการเดินทางและแผนที่

เว็บไซต์นี้ออกแบบและพัฒนาโดย งานเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อการเรียนการสอน คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
Copyright © 2013-2024
 

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เราใช้เทคโนโลยีคุกกี้เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างถูกต้อง การเปิดให้ใช้คุณสมบัติทางโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าเว็บไซต์ของเรา การใช้งานเว็บไซต์ต่อถือว่าคุณยอมรับการใช้งานคุกกี้