Eng |
รองศาสตราจารย์ ดร.ภญ.ศรีจันทร์ พรจิราศิลป์ ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
โรคไขมันพอกตับ คือ การมีไขมันไปสะสมอยู่ในเซลล์ตับ ปกติอาหารไขมันที่ร่างกายได้รับจะถูกเผาผลาญที่ตับและเนื้อเยื่อต่างๆ แต่เมื่อร่างกายได้รับไขมันเกินความต้องการ ไขมันส่วนเกินจะถูกสะสมในรูปเนื้อเยื่อไขมัน เนื้อเยื่อไขมันจะค่อยๆสะสมในตับของบุคคลที่รับประทานอาหารซึ่งมีไขมันในปริมาณที่มากเกินกว่าร่างกายจะจัดการได้ อีกสาเหตุของการมีไขมันสะสมในตับ คือ การที่ร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนไขมันให้อยู่ในรูปที่ถูกกำจัดออกได้ เมื่อตับมีไขมันสะสมอยู่มากกว่า 5% บุคคลนั้นจะเป็นโรคไขมันพอกตับ ซึ่งโดยปกติผู้ป่วยจะไม่มีอาการ แต่บางรายอาจรู้สึกไม่สบายบริเวณใต้ชายโครงขวา อ่อนเพลีย นั่นคือโรคนี้ค่อยๆ พัฒนาขึ้น และตับที่มีไขมันสะสมอยู่จะง่ายต่อการเกิดความเสียหาย ซึ่งเป็นผลจากการอักเสบและเกิดแผลเป็นในเนื้อตับ
โรคไขมันพอกตับ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ โรคไขมันพอกตับที่มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์ (Alcoholic fatty liver disease , AFLD) และ โรคไขมันพอกตับที่มิได้มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์ (Non-alcoholic fatty liver disease, NAFLD)
สำหรับโรคไขมันพอกตับที่มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์ ทราบได้จากประวัติของการดื่มแอลกอฮอล์จัด ส่วนโรคไขมันพอกตับที่มิได้มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์นั้นปัจจุบันพบว่าหากร่างกายเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินแล้วจะเป็นปัจจัยที่สำคัญของการเกิดภาวะไขมันคั่งสะสมในตับ หลังจากนั้นอาจจะมีปัจจัยหรือกลไกอื่นอีกที่มากระตุ้นให้เกิดการอักเสบและการตายของเซลล์ตับ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงมักมีกลุ่มโรคทางเมตาบอลิก คือ โรคอ้วน โรคเบาหวานหรือภาวะดื้ออินซูลิน และไขมันในเลือดสูงร่วมด้วย นอกจากนี้ ภาวะผิดปกติทางโภชนาการเช่น การอดอาหาร ขาดโปรตีน การให้อาหารทางหลอดเลือด การผ่าตัดทำตัดต่อลำไส้ การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ปัจจัยทางพันธุกรรม ยาบางชนิด ก็อาจเหนี่ยวนำให้เกิดโรค NAFLD ได้ ทราบได้อย่างไรว่าเป็น โรคไขมันพอกตับ
โดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการที่บ่งบอกความผิดปกติของตับ คือ ค่า ALT, AST, ALP ผิดปกติ หรือ ตับโต แพทย์จะตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีไขมันพอกตับ จึงต้องทำการตรวจตับด้วยอัลตร้าซาว์ด ซึ่งจะบอกได้ว่ามีไขมันที่ตับหรือไม่ การวินิจฉัยทางการแพทย์อื่นที่สามารถระบุว่ามีไขมันพอกตับหรือไม่ เช่นการทำซีทีสแกน proton magnetic resonance spectroscopy (H-MRS), และเอ็มอาร์ไอ (MRI) ในบางกรณีแพทย์อาจขอเจาะเอาตัวอย่างเนื้อตับไปตรวจทางพยาธิวิทยา
ในการรักษาโรคไขมันพอกตับ ยังไม่มียาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงสำหรับโรคนี้ ยาที่ใช้ในการรักษา ประกอบด้วย
หากสาเหตุของโรคเกิดจาก โรคอ้วน โรคเบาหวานหรือภาวะดื้ออินซูลิน และไขมันในเลือดสูง การรักษาจะเน้นที่การปรับพฤติกรรมการรับประทาน การให้ผู้ป่วยลดน้ำหนัก (ลดน้ำหนักลงอย่างน้อย 15% ของน้ำหนักเดิม โดยลด 1-2 กิโลกรัม/เดือน ) และให้ออกกำลังกาย เพื่อลดไขมันที่สะสมในตับ ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้เป็นปกติ ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง ต้องลดปริมาณไขมันที่รับประทาน และรับประทานอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ
ยาที่มีรายงานว่าสามารถทำให้เกิดไขมันพอกตับ คือพาราเซทามอลในขนาดสูง แอสไพริน คอร์ติโคสเตียรอยด์ ยาต้านซึมเศร้าและยารักษาโรคจิตบางชนิด valproate, 5-FU, irinotecan, cisplatin, L-asparaginase, griseofulvin corticosteroids, , amiodarone, methotrexate, tetracycline ขนาดสูง ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ, warfarin, tamoxifen, , ยาต้านเอดส์กลุ่ม NRTIs (เช่น stavudine, zidovudine, didanosine) , Nonsteroidal anti-inflammatory drugs (ibuprofen, naproxen), Cocaine, diltiazem, warfarin , วิตามิน เอ ขนาดสูง, Perhexiline maleate