Knowledge Article


ป้องกันการแพ้ยารุนแรงด้วยการตรวจยีน


นศภ. อริสา เจนจิตศิริ
นักศึกษาฝึกปฏิบัติงานคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
(สอบทานความสมบูรณ์และถูกต้อง : อาจารย์ ดร.ภก. สุรศักดิ์ วิชัยโย)
ภาพประกอบจาก : https://media.self.com/photos/5c8bcd650d8cc92cea24758d/4:3/w_2560%2Cc_limit/MTHFR-Gene-Mutations.jpg
14,978 View,
Since 2020-06-17
Last active: 9h ago
https://tinyurl.com/2q7abydu
Scan to read on mobile device
 
A - | A +


การแพ้ยา เป็นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายที่มีต่อยา เมื่อร่างกายมองว่ายาคือสิ่งแปลกปลอมจึงต้องการกำจัด แต่หากมีการตอบสนองที่มากเกินไปอาจส่งผลเสียตามมา โดยอาการแพ้ยาบางครั้งอาจรุนแรงปานกลาง เช่น มีผื่นคันตามผิวหนัง ริมฝีปากบวม เปลือกตาบวม จนถึงอาการแพ้ที่รุนแรงมาก เช่น มีผื่นขึ้นทั่วร่างกาย ผิวหนังหลุดลอก เยื่อบุอักเสบ และเกิดความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต[1] ปัจจุบัน การศึกษาเกี่ยวกับสารพันธุกรรมของมนุษย์ได้เจริญก้าวหน้าขึ้นมาก จนสามารถพบยีนที่มีความสัมพันธ์กับอาการแพ้รุนแรงจากยาบางชนิด กล่าวคือ หากตรวจพบยีนชนิดนี้ในผู้ป่วย แพทย์มักหลีกเลี่ยงการสั่งจ่ายยาที่อาจทำให้เกิดการแพ้รุนแรงด้วยกลไกนี้

ยีนแพ้ยาคืออะไร

ยีน มีองค์ประกอบสำคัญ คือ ดีเอ็นเอ (DNA = deoxyribonucleic acid) ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมภายในเซลล์ โดยยีนทำหน้าที่ถ่ายทอดคำสั่งให้ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกายน้อยกว่าปกติ เช่น มีการเสียเลือด หรือเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก จะเหนี่ยวนำให้ไตหลั่งฮอร์โมนชื่อว่า “อีริโทรโพอิติน (erythropoietin)” ไปกระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดภายในไขกระดูก (แหล่งสร้างเซลล์เม็ดเลือด) ให้มีการทำงานของยีนหลายชนิดภายในเซลล์ แล้วควบคุมให้เซลล์เหล่านี้เจริญเติบโตไปเป็นเซลล์เม็ดเลือดแดงมากขึ้น เพื่อชดเชยการสูญเสียเลือด เป็นต้น[2]

แม้ว่าสารพันธุกรรมในมนุษย์มีความเหมือนกันถึงร้อยละ 99.5 แต่ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยที่เรียกว่า “ความหลากหลายทางพันธุกรรม” ทำให้แต่ละคนมีลักษณะแตกต่างกัน รวมถึงอาจส่งผลให้มีประชากรบางส่วนสามารถเกิดการแพ้ยารุนแรงได้ ขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่เกิดอาการเหล่านี้ จากงานวิจัย พบว่า การกลายพันธุ์ของยีนบางชนิด เช่น ยีนที่ชื่อ “เอช-แอล-เอ-บี (HLA-B = Human Leukocyte Antigen-B)” ซึ่งทำหน้าที่สร้างโปรตีน HLA-B บนเซลล์ภูมิคุ้มกัน (เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว) โดยปกติโปรตีน HLA-B จะจับกับสิ่งแปลกปลอมที่เรียกรวม ๆ ว่า “แอนติเจน (antigen)” แต่หากมีการกลายพันธุ์ของยีนเป็น HLA-B*1502 ทำให้ได้โปรตีน HLA-B ที่แตกต่างออกไป ซึ่งสามารถจับกับยาหรือสารเคมีบางชนิด แล้วเป็นสาเหตุให้มีการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมากกว่าปกติจนเกิดภาวะภูมิไวเกิน (ดังแสดงในรูปภาพ)[3-4]



ทำไมต้องตรวจหายีนแพ้ยา

ในประเทศไทยระหว่างปี พ.ศ. 2527-2553 พบผู้ป่วยแพ้ยาชนิดรุนแรงประมาณ 6,965 ราย และเสียชีวิต 260 ราย โดยรายการยาที่สงสัยมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ยาฆ่าเชื้อ “โคไตรม็อกซาโซล (co-trimoxazole)” ยากันชัก “คาร์บามาซีพีน (carbamazepine)” และยาลดกรดยูริกสำหรับรักษาโรคเกาต์ “อัลโลพูรินอล (allopurinol)”[5-6]

โดยส่วนใหญ่ แนวทางป้องกันการแพ้ยา คือ ต้องทราบก่อนว่าผู้ป่วยเคยมีประวัติแพ้ยาชนิดใด แล้วอาจทำนายโอกาสการแพ้ยาตัวอื่นจากโครงสร้างของยาที่คล้ายกัน อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีข้อจำกัดหลายประการ เช่น ไม่สามารถรู้อย่างแน่ชัดว่าผู้ป่วยแพ้ต่อโครงสร้างส่วนใดของยา และไม่สามารถทำนายหรือป้องกันการแพ้ยาในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับยานั้นเป็นครั้งแรก จึงทำได้เพียงติดตามผลระหว่างใช้ยาและทำการรักษาเมื่อมีอาการแพ้เกิดขึ้น ซึ่งหากอาการแพ้มีความรุนแรงมาก (เช่น กรณียาคาร์บามาซีพีน) อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตและยังต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการรักษา[6-7]

จากการศึกษาเกี่ยวกับสารพันธุกรรมในปัจจุบัน พบว่า ผู้ที่มียีน HLA-B*1502 เสี่ยงต่อการแพ้ชนิดรุนแรงจากยาคาร์บามาซีพีน มากกว่าปกติ 55 เท่า ซึ่งเชื่อว่าอาจเกี่ยวข้องกับกลไกดังที่กล่าวมาแล้ว (แสดงในรูปภาพ) นอกจากนี้ พบว่าผู้ที่มียีน HLA-B*5801 เสี่ยงต่อการแพ้ชนิดรุนแรงจากยาอัลโลพูรินอล มากกว่าปกติถึง 348 เท่า เป็นต้น ซึ่งการตรวจหายีนแพ้ยาเหล่านี้สามารถช่วยป้องกันการแพ้ยารุนแรงได้ตั้งแต่การใช้ยาครั้งแรก จึงมีประโยชน์ทั้งด้านความปลอดภัยและลดค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดจากการรักษาอาการแพ้ยาอีกด้วย[6-7]

จำเป็นต้องตรวจยีนแพ้ยาในผู้ป่วยทุกคนหรือไม่

การตรวจหายีนแพ้ยาไม่สามารถทำได้กับยาทุกชนิด แต่ควรทำเมื่อผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยาที่ทราบข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างยีนกับการแพ้ยารุนแรง โดยปัจจุบันรัฐบาลได้มีนโยบายสนับสนุนให้ตรวจยีนที่พบว่ามีความคุ้มค่าทางการแพทย์ ได้แก่ ยีน HLA-B*1502 ในผู้ป่วยรายใหม่ที่ได้รับยากันชักคาร์บามาซีพีน โดยเก็บตัวอย่างเลือดจากผู้ป่วยแล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือทางชีวโมเลกุลและเครื่องถอดรหัสพันธุกรรม ซึ่งประชาชนที่ใช้สิทธิสวัสดิการข้าราชการและหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สิทธิบัตรทอง) จะได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจ[7] และยีน HLA-B*5801 ในผู้ป่วยโรคเกาต์รายใหม่ที่ได้รับยาอัลโลพูรินอล ซึ่งสามารถเบิกจ่ายได้ในผู้ที่ใช้สิทธิสวัสดิการข้าราชการ[8] โดยผู้ป่วยรายใหม่ หมายถึง ผู้ที่ไม่เคยได้รับยาหรือได้รับยาไม่เกิน 2 เดือน เนื่องจากอาการแพ้ยาสามารถเกิดได้ทั้งแบบฉับพลัน (ภายในนาทีหรือชั่วโมงหลังจากสัมผัสยา) และแบบช้า (อาการเกิดขึ้นหลังจากได้รับยา 1-6 สัปดาห์)[9-10] ซึ่งอาการแพ้รุนแรงจากยาคาร์บามาซีพีน และยาอัลโลพูรินอล มักเกิดช้า[11-12]

จากข้อมูลเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าการตรวจหายีนแพ้ยาสามารถช่วยป้องกันการแพ้ยารุนแรงในผู้ป่วยรายใหม่ได้ ซึ่งปัจจุบันมีการศึกษาถึงความสัมพันธ์ของยีนและการแพ้ยาต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยหากมีข้อมูลเพิ่มมากขึ้นร่วมกับมีการประเมินความคุ้มค่าทางการแพทย์ ในอนาคตประชาชนอาจได้รับสิทธิการตรวจหายีนแพ้ยาตัวอื่น ๆ ตามมา เพื่อให้สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย

เอกสารอ้างอิง
  1. Mayo clinic staff. Drug allergy. 2017 [cited 2020 May 22]. Available from: https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/drug-allergy/symptoms-causes/syc-20371835
  2. Mello FV, Land MGP, Costa ES, Teodosio C, Sanchez ML, Barcena P, et al. Maturation-associated gene expression profiles during normal human bone marrow erythropoiesis. Cell Death Discov 2019;5:69.
  3. Fan WL, Shiao MS, Hui RC, Su SC, Wang CW, Chang YC, et al. HLA Association with Drug-Induced Adverse Reactions. J Immunol Res 2017;2017:3186328.
  4. Nguyen DV, Chu HC, Nguyen DV, Phan MH, Craig T, Baumgart K, et al. HLA-B*1502 and carbamazepine-induced severe cutaneous adverse drug reactions in Vietnamese. Asia Pac Allergy 2015;5:68-77.
  5. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. แนะใช้วิธีตรวจสอบสารพันธุกรรมป้องกันการแพ้ยา. 2555 [เข้าถึงเมื่อ 22 พ.ค. 2563]. เข้าถึงได้จาก: https://www.thaihealth.or.th/Content/3761-แนะใช้วิธีตรวจสอบสานพันธุกรรมป้องกันการแพ้ยา.html
  6. ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สวทช. นักวิจัยพบการตรวจยีน HLA-B*1502 ใช้ทำนายกลุ่มเสี่ยงแพ้ยารักษาลมชัก อาการชนิดรุนแรง สตีเวนส์ จอห์นสัน ในคนไทยได้สำเร็จ. 2553 [เข้าถึงเมื่อ 22 พ.ค. 2563]. เข้าถึงได้จาก: https://www.nstda.or.th/sci2pub/thaismc/september2010/FS079.pdf
  7. โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ. สปสช. เห็นชอบสิทธิประโยชน์ ‘ตรวจยีน HLA’ ลดความเสี่ยงผู้ป่วยโรคลมชักแพ้ยา. 2561 [เข้าถึงเมื่อ 22 พ.ค. 2563]. เข้าถึงได้จาก: http://www.hitap.net/news/172341
  8. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. กรมวิทย์ฯ ตรวจยีนแพ้ยาโรคเก๊าท์ฟรี 1 หมื่นรายเป็นของขวัญปีใหม่. 2562 [เข้าถึงเมื่อ 7 มิ.ย. 2563]. เข้าถึงได้จาก: https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/02/136126
  9. Warrington R, Silviu-Dan F, Wong T. Drug allergy. Allergy Asthma Clin Immunol 2018;14:60.
  10. Daniel VE. Drug Allergies. 2014 [cited 26 May 2020]. Available form: https://www.worldallergy.org/education-and-programs/education/allergic-disease-resource-center/professionals/drug-allergies
  11. Sousa-Pinto B, Correia C, Gomes L, Gil-Mata S, Araujo L, Correia O, et al. HLA and Delayed Drug-Induced Hypersensitivity. Int Arch Allergy Immunol 2016;170:163-79.
  12. Stamp LK, Barclay ML. How to prevent allopurinol hypersensitivity reactions? Rheumatology (Oxford) 2018;57:i35-i41.

Public Knowledge Articles



View all articles
-->

-

 ปรับขนาดอักษร 

+

Faculty of Pharmacy, Mahidol University.

447 Sri-Ayuthaya Road, Rajathevi, Bangkok 10400, THAILAND
Designed & Developed by Department of Information Technology, Faculty of Pharmacy, Mahidol University.
Copyright © 2013-2020
 

We use Cookies

This site uses cookies to personalise your experience and analyse site traffic. By Clicking ACCEPT or continuing to browse the site you are agreeing to our use of cookies.