Knowledge Article


ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่


รองศาสตราจารย์ ดร. ภญ. ศรีจันทร์ พรจิราศิลป์
ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
(สอบทานความสมบูรณ์และถูกต้อง : รศ.ดร.ภก.ศุภโชค มั่งมูล และ ผศ.ดร.ภญ.วิลาสินี ซาโตะ )
ภาพประกอบจาก : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/d/d4/Manneken_Pis_Brussel.jpg
123,734 View,
Since 2016-04-24
Last active: 3h ago

Scan to read on mobile device
 
A - | A +


ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดความอับอาย แยกตัวจากสังคม ไม่อยากออกจากบ้าน เพราะ ผู้ป่วยจะเกิดความรู้สึกปวดอยากปัสสาวะอย่างรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน และไม่สามารถกลั้นไว้ได้ จึงอาจจะมีปัสสาวะเล็ด/ราด ปัสสาวะบ่อย (ในช่วงกลางวันมากกว่า 7 ครั้งต่อวัน) และต้องตื่นมาปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืนหลังจากหลับ (มากกว่าหรือเท่ากับ 1 ครั้ง) แต่ไม่มีการติดเชื้อหรือพยาธิสภาพอื่น ภาวะดังกล่าวนี้ในทางการแพทย์ เรียกว่า ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะบีบตัวบ่อยและเร็วกว่าปกติ โดยสาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบประสาทซึ่งควบคุมการบีบตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กล้ามเนื้อบีบตัวบ่อยและบีบตัวไวกว่า ปกติ โดยที่ยังมีปริมาณปัสสาวะไม่มากพอที่จะทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะ ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่เมื่ออายุมากขึ้นจะมีโอกาสเกิดได้มากขึ้น และพบบ่อยกว่าในสตรีเพศ นอกจากนี้ ภาวะต่อมลูกหมากโต หรือ การมีเลือดไปเลี้ยงที่กระเพาะปัสสาวะไม่เพียงพอจนเกิดภาวะขาดเลือดและนำไปสู่ความผิดปกติของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะหรือการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะบกพร่อง การอักเสบของกระเพาะปัสสาวะบ่อยๆก็เป็นสาเหตุทำให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะบีบตัวผิดปกติได้ และมีข้อมูลพบว่า ผู้ป่วยทางจิตเวช เช่น ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าวิตกกังวล สมาธิสั้น สมองเสื่อม มีอัตราการเกิดภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน สูงกว่าคนปกติซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นผลจากความบกพร่องในการทำงานของสารสื่อประสาท

เมื่อเกิดภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน แพทย์จะทำการซักประวัติและวินิจฉัยเพื่อให้แน่ใจว่า ภาวะดังกล่าวมิได้มีสาเหตุจากโรคหรือความผิดปกติอื่น และแพทย์จะให้ผู้ป่วยจดบันทึกการปัสสาวะ เช่นถ่ายปัสสาวะเวลาใด เกิดปัสสาวะเล็ดหรือไม่ ดื่มน้ำ/ของเหลวเวลาใดและปริมาตรเท่าไร เพื่อประเมินความรุนแรงของอาการ

แนวทางในการรักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน

เริ่มจาก การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ด้วยการค่อยๆลดปริมาณนํ้า/ของเหลวที่ดื่ม และ รับประทานผักผลไม้ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบแทน และงดการรับประทานสารที่กระตุ้นให้ปัสสาวะ เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลมที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ด้วย

การฝึกกลั้นปัสสาวะ การฝึกกลั้นปัสสาวะ เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง ให้ฝึกเพิ่มช่วงเวลาของการไปถ่ายปัสสาวะ โดยค่อยๆยืดระยะเวลาระหว่างการไปถ่ายปัสสาวะแต่ละครั้ง ร่วมกับการให้ยาที่ควบคุมการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ คือ ยากลุ่ม Antimuscarinic เช่น darifenacin, hyoscyamine, oxybutynin, tolterodine, solifenacin, trospium, fesoterodine ซึ่งควรให้ยาเม็ดชนิดค่อยๆปลดปล่อยตัวยา เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ในปัจจุบันนี้ยา oxybutynin ยังมีรูปแบบพลาสเตอร์ปิดบนผิวหนังหรือรูปแบบเจลทาผิว เพื่อให้ยาค่อยๆถูกดูดซึมเข้าร่างกาย ยากลุ่มนี้บรรเทาอาการด้วยการไปต้านผลของระบบประสาทอัตโนมัติชนิดพาราซิมพาเตติก เพราะเชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินนั้น เป็นผลจากการที่กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะตอบสนองต่อสารสื่อจากระบบประสาทพาราซิมพาเตติกมากเกินไป ผลของการใช้ ยากลุ่ม Antimuscarinic คือ ยาจะไปลดการบีบตัวที่ไวเกินปกติของกระเพาะปัสสาวะ แต่จะก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ปากแห้ง ตาแห้ง ท้องผูก นอกจากนี้ยังมี ยากลุ่ม ß3-adrenoceptor agonist เช่น Mirabegron ซึ่งลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ ลดความดันภายในกระเพาะปัสสาวะ แต่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง คือ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ปวดศีรษะ ท้องผูก

อย่างไรก็ดี ยาบรรเทาอาการของภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินมีประสิทธิผลปานกลาง ช่วยลดจำนวนครั้งของการปวดปัสสาวะลงบ้าง แต่ไม่สามารถหยุดยั้งอาการทั้งหมด

การบริหารกล้ามเนื้อหูรูดให้แข็งแรง เป็นวิธีที่ทำได้ง่ายๆ และให้ผลดีในการบรรเทาอาการปัสสาวะเล็ดได้ เพียงขมิบกล้ามเนื้อหูรูดอย่างแรงเหมือนกำลังกลั้นปัสสาวะ และขมิบทำเช่นนั้นนานประมาณ 5 วินาที หยุดขมิบ 10 วินาที แล้วทำซ้ำ ให้ทำเช่นนี้ 10 ครั้ง ในตอนเช้า กลางวัน และเย็น ทุกวัน ค่อยๆเพิ่มจำนวนครั้งของการขมิบเป็น 15 ทีวันละ3 ครั้ง 20 ทีวันละ3 ครั้ง 20 ทีวันละ4 ครั้ง และทำเพิ่มอีก 20 ที บริหารกล้ามเนื้อหูรูดอย่างสม่ำเสมอ ต่อมาเมื่อเข้าห้องน้ำถ่ายปัสสาวะลองถ่ายเพียงครึ่งหนึ่งแล้วหยุดด้วยการขมิบอย่างแรงลองดูว่าสามารถกลั้นปัสสาวะได้หรือยังที่สำคัญคือ ต้องบริหารกล้ามเนื้อหูรูดอย่างสม่ำเสมอ และสามารถบริหารได้ทุกที่ เช่น ขณะนั่งทำงาน ขณะนั่งรถ ฟังเพลง ดูรายงานข่าว และใช้ผลการบริหารนี้เมื่อจำเป็นต้องกลั้นมิให้ปัสสาวะเล็ด/ราด เช่น ไอ จาม หัวเราะ

ที่สำคัญคือ ต้องบริหารกล้ามเนื้อหูรูดอย่างสม่ำเสมอ และสามารถบริหารได้ทุกที่ เช่น ขณะนั่งทำงาน ขณะนั่งรถ ฟังเพลง ดูรายงานข่าว และใช้ผลการบริหารนี้เมื่อจำเป็นต้องกลั้นมิให้ปัสสาวะเล็ด/ราด เช่น ไอ จาม หัวเราะ

ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับการรักษาด้วยยาที่กล่าวข้างต้น หรือการรักษาด้วยยาไม่บรรลุเป้าหมายในการรักษา แพทย์อาจพิจารณาเลือกใช้วิธีการรักษาแบบอื่น เช่น การฉีดสาร Botulinum toxin ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการปล่อยสารสื่อจากระบบประสาทพาราซิมพาเตติก ทำการการกระตุ้นเส้นประสาท Sacral หรือ tibial ด้วย ไฟฟ้า และทำการผ่าตัด เป็นต้น

เอกสารอ้างอิง
  1. Banakhar MA, Al-Shaiji TF and Hassouna MM. Pathophysiology of overactive bladder. Int Urogynecol J. 2012;23:975–982.
  2. Gormley EA, Lightner DJ, Faraday M, et al. Diagnosis and treatment of overactive bladder (non-neurogenic) in adults: AUA/SUFU guideline. J Urol. 2015;193(5):1572-80.
  3. Pelvic Floor Exercises (Kegel') - Women's Bladder Health

    http://www.womensbladderhealth.com/pdf/pelvicfloorexercises.pdf Access 31/03/2016
Others articles

บทความที่เนื้อหาเกี่ยวข้องกับบทความนี้

Public Knowledge Articles



View all articles
-->

-

 ปรับขนาดอักษร 

+

Faculty of Pharmacy, Mahidol University.

447 Sri-Ayuthaya Road, Rajathevi, Bangkok 10400, THAILAND
Designed & Developed by Department of Information Technology, Faculty of Pharmacy, Mahidol University.
Copyright © 2013-2020
 

We use Cookies

This site uses cookies to personalise your experience and analyse site traffic. By Clicking ACCEPT or continuing to browse the site you are agreeing to our use of cookies.