ไทย |
ข้อพิจารณาในการเลือกซื้อ “สเปรย์พริก”
นอกจากการพิจารณาชนิดของ “สเปรย์พริก” แล้ว ผู้ซื้อจะต้องพิจารณาจากความแรงของ “สเปรย์พริก” ซึ่งแต่ละบริษัทก็ให้ข้อมูลของความแรง ในหน่วยวัดที่ต่างกัน ในประเทศสหรัฐอเมริกา จะแจ้งปริมาณของสาร Capsaicin และ Related Capsaicinoids (CRC) บางประเทศจะแจ้งเป็นค่า SHU และค่า % oleoresin capsicum (OC) โดยทั่วไป “สเปรย์พริก” จะประกอบด้วย oleoresin capsicum (OC) ประมาณ 10-18% หรือ SHU ประมาณ 2-3 million แล้วค่าเหล่านี้คืออะไร มีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ค่า Scoville Heat Units (SHU): เป็นหน่วยวัดความเผ็ด ใช้วัดระดับความเผ็ดในพริก ซึ่งสารที่ให้ความเผ็ดคือ capsaicinoids เป็นสารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง ในสมัยก่อนทดสอบโดยใช้ประสาทสัมผัส ใช้วิธีการเจือจาง (dilution) สารสกัดแอลกอฮอล์จากพริก (ทราบน้ำหนักที่แน่นอน) ในน้ำ แล้วละลายน้ำตาล และให้ผู้ชิมทดสอบ สารที่มีค่า SHU สูง หมายความว่า ต้องเจือจางหลายเท่า จนกระทั่งไม่สามารถรับรู้ถึงความเผ็ดร้อน ซึ่งวิธีนี้ผู้ชิมต้องมีความชำนาญและมีความผิดพลาดสูง ปัจจุบันมีเครื่องวัดค่าความเผ็ด ทำงานโดยอาศัยหลักการของหัววัดแบบ Bio-Sensor และใช้การวัดแบบ Electro-Chemical โดยจะทำการตรวจจับปริมาณสารแคปไซซินในสารละลายที่นำมาหยดลงบนหัววัดแบบไบโอเซ็นเซอร์ที่ผลิตโดยวิธี Screen Printing ตัวเครื่องจะวัดอัตราการทำปฏิกริยาของสารแคปไซซินบนหัววัดโดยใช้กระแสไฟฟ้าระดับไมโคร-นาโนแอมป์ แล้วทำการประมวลผล เพื่อคำนวณค่าความเผ็ดในหน่วย SHU (Scoville Heat Unit)
ค่า % oleoresin capsicum (OC): เป็นปริมาณของสารสกัดพริกที่ใส่ใน สเปรย์พริกแต่ละบริษัทจะแจ้งว่าสเปรย์พริกของเขามีปริมาณ % oleoresin capsicum เท่าไร ซึ่งจริงๆ แล้วสารสำคัญในสารสกัดพริกก็คือ สารกลุ่ม capsaicinoids ทั้งนี้สาร oleoresin capsicum ซึ่งได้จากการสกัดจากพริก จะแปรผันตามชนิดพริก ฤดูกาล และกระบวนการสกัด ดังนั้นค่า % OC จึงเป็นค่าที่ตรวจสอบได้ยาก นอกจากจะหาปริมาณของ capsaicinoids
ค่า % Capsaicinoids: Capsaicinoids เป็นกลุ่มสารที่ประกอบด้วย capsaicin, dihydrocapsaicin, nordihydrocapsaicin เป็นสารหลัก รวมแล้วประมาณ 95% วิธีในการตรวจสอบหาปริมาณ คือ high performance liquid chromatography (HPLC) หรือใช้วิธี high performance liquid chromatography/mass spectroscopy (HPLC/MS) วิธีนี้ถือได้ว่าเป็นวิธีที่มีความถูกต้อง แม่นยำ มากกว่าวิธีที่ได้กล่าวมาแล้ว
ในกรณีความสัมพันธ์ระหว่างค่า SHU และ % Capsaicin พบว่า ปริมาณ capsaicin 1 ppm (1 ส่วน ในล้านส่วน) เทียบเท่ากับ 15 SHU
จากงานวิจัยที่วิเคราะห์โดยใช้เครื่อง HPLC/MS พบว่า สเปรย์พริก จำนวน 9 ตัวอย่าง (PS1-9) ได้แจ้ง ค่า SHU 1-2 million แต่จากงานวิจัยพบว่า ปริมาณสาร % Capsaicinoids ในสเปรย์พริกที่มีค่า SHU เท่ากัน (ตามที่แจ้ง) มีปริมาณสาร Capsaicinoids ต่างกัน และเมื่อคำนวนหาความสัมพันธ์กับค่า SHU พบว่า มีค่าน้อยกว่าที่แจ้ง ประมาณ 10 ถึง 100 เท่า (ตามตาราง) ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ผลิตสเปรย์พริก จะต้องมีการควบคุมปริมาณ % Capsaicinoids ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพเหมือนกันทุกครั้งของการผลิต
“สเปรย์พริก” มีผลต่อร่างกายอย่างไร?
“สเปรย์พริก” มีผลทั้งต่อเยื่อบุตา ผิวหนัง ที่สัมผัส และต่อระบบทางเดินหายใจที่สูดดมเข้าไป อย่างไรก็ตาม “สเปรย์พริก” ไม่เป็นสารที่ทำให้ตาย
การปฐมพยาบาล
หากเข้าดวงตา ให้รีบล้างหน้า ล้างตา ด้วยน้ำนมสด ทั้งนี้เพราะสเปรย์พริกละลายได้ดีในไขมัน ซึ่งนมสดธรรมดาจะมีไขมันสูง หรือถ้าหาไม่ได้ ล้างด้วยน้ำยาล้างตา หรือน้ำสะอาด หลาย ๆ ครั้ง จนหายเคืองตา มีบางคนแนะนำ ยาลดกรดในกระเพาะชนิดน้ำขาวขุ่น ที่มีส่วนประกอบอลูมีเนียมไฮดรอกไซด์ นำมาผสมกับน้ำสะอาดในอัตราส่วนเท่าๆกัน ใช้ล้างตาช่วยแก้อาการแสบร้อนที่นัยน์ตาได้
หากถูกผิวหนัง ซึ่งจะมีอาการปวดแสบ ร้อน คันที่ผิวหนัง ให้ล้างด้วยสบู่อ่อนหลายครั้ง อย่าถูหรือเกาเพราะสารแคปไซซินจะซึมเข้าผิวหนังได้ลึกยิ่งขึ้นหรือแผ่กว้างออกไป เมื่อล้างแล้วควรประคบด้วยน้ำแข็ง หรือน้ำเย็น หรือเป่าด้วยพัดลมจะช่วยบรรเทาอาการลงได้ ทางการแพทย์จะใช้ 5% sodium metabisulfite เช็ดผิวหนังเพื่อเอาสาร OC (Oleoresin of capsicum) ออก กฎหมายควบคุม
สเปรย์พริกมีความรุนแรงมากจากสารแคปไซซิน มีทั้งกำหนดให้เป็นวัตถุผิดกฎหมาย และไม่ผิดกฎหมาย บางประเทศอย่างฮ่องกง ใครมีไว้ในครอบครอง ต้องโทษจำคุก 14 ปี หรือปรับหนึ่งแสนเหรียญ ประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย และแคนาดา ห้ามมีไว้ในครอบครองทั่วไป ยกเว้นเพื่อการป้องกันตัว ส่วนในสหรัฐอเมริกา ก็มีนโยบายแล้วแต่รัฐ แต่บางประเทศกลับจะนำเอามาใช้กับประชาชนในรูปของอุปกรณ์ปราบจราจล
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดาย ที่อุปกรณ์ป้องกันตัว ที่ชื่อว่า “สเปรย์พริก” ในประเทศไทย กลับเป็นของผิดกฎหมาย ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง รายชื่อวัตถุอันตรายในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 แก้ไขเพิ่มเติมตามประกาศ พ.ศ. 2546 พ.ศ. 2547 และ พ.ศ. 2548 ในลำดับที่ 258 ได้ระบุไว้ว่า “ผลิตภัณฑ์ที่มีสารสำคัญที่ใช้เพื่อขัดขวางระบบการทำงานของร่างกายเป็นการชั่วคราว เพื่อการป้องกันตัวหรือทำร้ายผู้อื่น” เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 4 โดยห้ามมิให้ นำเข้า จำหน่าย พกพา สำหรับผู้ที่ฝ่าผืนมีโทษจำคุก 10 ปี หรือปรับ 1,000,000 บาท โดยทั้งนี้ คณะกรรมการอาหารและยา ตีความว่าหมายถึง สเปรย์พริกทุกชนิด อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2556 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้จัดให้มีสัมนาเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการควบคุมผลิตภัณฑ์สเปรย์พริกเพื่อการป้องกันตัว ซึ่งมีข้อเสนอแนะว่าน่าจะเป็นวัตถุควบคุมมากกว่าวัตถุอันตราย แต่ทั้งนี้ข้อเสนอแนะดังกล่าวยังเป็นช่วงเวลาของการศึกษา และยังไม่มีการแก้กฎหมาย เพราะฉะนั้นบุคคลที่มีสเปรย์พริก หรือสเปรย์ป้องกันตัวไว้ในครอบครอง ควรพึงระวัง เพราะหากถูกจับกุม จะมีโทษหนักทั้งจำและปรับ และจากเหตุการณ์วันนี้ที่ผู้หญิงเป็นเหยื่อของการข่มขืนมากขึ้น กระทรวงสาธารณสุข จะมีการพิจารณาว่า สเปรย์พริก ซึ่งไม่ใช่ของที่ใช้ในครัวเรือน ควรเป็นวัตถุอันตรายที่จะต้องมีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง หลายหน่วยงานภาคประชาชนได้มีข้อเสนอให้ สเปรย์พริก เป็นวัตถุควบคุมเช่นเดียวกับปืน โดยผู้ผลิตจะต้องกำหนด serial number เพื่อการติดตามเมื่อเกิดการนำไปใช้ในทางที่ผิด แต่ประชาชนทั่วไปสามารถมีครอบครองได้เพื่อการป้องกันตนเอง “สเปรย์พริก” คงเป็นอีกหนึ่ง issue ที่จะต้องมีการสัมนา พูดคุยกันอย่างจริงจัง เพื่อการนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดต่อไป