Knowledge Article


สมุนไพรใช้ในอายุรเวท


รองศาสตราจารย์ ดร.อ้อมบุญ วัลลิสุต
ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
33,440 View,
Since 2013-08-26
Last active: 5m ago
https://tinyurl.com/262o9qxy
Scan to read on mobile device
 
A - | A +
อายุรเวทเป็นศาสตร์การแพทย์ของชาวอารยันหรือชาวฮินดู มีหลักเกณฑ์ในการใช้สมุนไพรที่ลึกซึ้ง โดยมีหลักในการจำแนกสมุนไพร 5 ประการคือ

  1. Rasa คือ รส
  2. Guna คือ คุณสมบัติ
  3. Veerya คือ กำลัง
  4. Vipaka คือ การแปรเปลี่ยนของสมุนไพรเมื่อเข้าไปในร่างกายมนุษย์
  5. Prabhava คือ ความเฉพาะ


1. Rasa แบ่งออกเป็น 6 รส ได้แก่

  • รสหวาน (Madhura) เพิ่มความมีชีวิตชีวา บำรุงกำลัง บำรุงน้ำนม บำรุงสายตา และทำให้พยาธิเติบโต เหมาะกับเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้บาดเจ็บ ผู้ที่มีศีรษะล้าน และคนอ่อนแอ รสเปรี้ยว (Amla) กระตุ้นความอยากอาหารและการย่อยอาหารให้ความรู้สึกเย็นแต่มีผลที่ได้คือความร้อน รักษาโรคในระบบวาตะ เป็นยาระบาย ไม่เป็นผลดีต่ออสุจิ ทานเป็นนิสัยทำให้เกิดสภาวะ amblyopia เป็นคำที่มาจากรากศัพท์ภาษากรีกแปลว่า " dullness of vision " หรือเรียกว่า lazy eyeเป็นภาวะตามัว (หมอชาวบ้าน)
  • รสเค็ม ( Lavana) บำรุง ผ่อนคลายกระเพาะลำไส้ ทำให้ดีและเสมหะผิดปกติ ทำให้อ่อนแอ ลดพฤติกรรมทางเพศ กระตุ้นให้มีเหงื่อออกมาก ทานอย่างต่อเนื่องทำให้ผมขาว
  • รสเผ็ด (Katu) ร้อน ทำลายพยาธิ ลดการหลั่งน้ำนม ทำให้น้ำมูกแห้ง เจริญอาหารลดไขมันในร่างกาย บำรุงสติปัญญา แต่บั่นทอนกำลังและความงาม
  • รสขม (Tikta) เย็น ดับกระหาย ดับไข้และความรู้สึกแสบร้อน รักษาโรคเกี่ยวกับโลหิต แต่ทำให้วาตะผิดปกติ ถ้ามากเกินไปเกิดอาการปวดศีรษะ
  • รสฝาด (Kashaya) รักษาแผล ทำให้ท้องผูก และผิวหนังอ่อนนุ่ม ถ้าทานบ่อยๆทำให้ตัวแข็ง ท้องอืดและเจ็บที่หัวใจ


2. Guna คือ คุณสมบัติ ที่ได้ผ่านการใช้จากชาวอารยันโบราณและบันทึกต่อๆกันมาคือ Materia Medica ของอินเดีย จักได้กล่าวโดยละเอียดต่อไป

3. Veerya คือ กำลัง อันเนื่องมาจากอิทธิพลของดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ตัวยาจะมีกำลังเป็นร้อน (Ushna Veerya) หรือเย็น (Sheeta Veeraya) ตัวยาร้อนทำให้เกิดการวิงเวียน กระหายน้ำ หงุดหงิด ไม่สบาย เหงื่อออก ความรู้สึกแสบร้อน ระงับไอ และวาตะ เพิ่มน้ำดีและช่วยย่อย ตัวยาเย็นลดน้ำดีเพิ่มวาตะและเสมหะ ทำให้มีแรงและความสุข บำรุงโลหิต เมื่อให้ยาที่มีผลเหมือนกับอาการโรคที่เป็นดังที่กล่าวว่า Similia similibus curantur ในการรักษาแบบ homeopathy คือหลักการที่คนป่วยจากการได้รับความร้อนจะต้องรักษาด้วยยาร้อนแต่มีผลทำให้เย็น และเช่นเดียวกันกับโรคจากความเย็น ไม่เชานนั้นจะมีผลร้าย

4. Vipaka คือ การแปรเปลี่ยนของสมุนไพรเมื่อเข้าไปในร่างกายมนุษย์ เมื่อถึงกระเพาะถูกกับน้ำย่อยจะถูกสลายและกลายเป็นอย่างอื่น มีสรรพคุณเปลี่ยนไปจากปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิด สภาวะที่เปลยี่ยนแปรไปของตัวยาเรียกว่า Vipaka โดยขึ้นกับรสยา ถ้าเป็นรสเค็มจะกลายเป็นหวาน รสขมและรสฝาดกลายเป็นเผ็ด ส่วนรสหวาน เปรี้ยว เผ็ด มี Vipaka คงเดิม ยกเว้นข้าวมีรสหวานแต่ด้วยอิทธิพลจากร่างกายกลายเป็นเปรี้ยว สมอไทยมีรสฝาดแต่ในร่างกายเป็นรสหวาน Sweet Vipaka บำรุงเสมหะ ลดวาตะและน้ำดี Sour Vipaka เพิ่มน้ำดีลดวาตะและเสมหะ ขณะที่ Pungent Vipaka ทำให้เกิดโรควาตะ ลดเสมหะและน้ำดี ดังนั้นผลในการรักษาจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับรสยาเพียงอย่างเดียวแต่ยังขึ้นอยู่กับรสของ Vipaka ของตัวยานั้นด้วย

5. Prabhava คือ ความเฉพาะของตัวยานั้นๆ มียาหลายตัวที่มี ทั้ง 4 ข้อข้างต้นเหมือนกันแต่ผลของยาต่างกัน เช่น Madhusarava (Madhuca longifolia) และ Draksha (Vitis vinifera) ต่างก็มีรสหวาน เย็น หนัก และมี sweet vipaka แต่ตัวแรกทำให้ท้องผูกในขณะที่ตัวหลังช่วยระบาย คุณสมบัติอันนี้เรียกว่า Prabhava อีกตัวอย่างคือ เจตมูลเพลิงขาว Chitraka (Plumbago zeylanica) และ Danti (Croton polyandrum) ต่างก็มีรสเผ็ด ร้อน เบา pungent vipaka แต่ ตัวแรกช่วยย่อยในขณะที่ตัวหลังเป็นยาถ่ายอย่างแรง
จากหนังสือ History of Hindu Medical Science โดย Bhagvat Sinh Jee ได้บันทึกรายชื่อสมุนไพรที่ใช้ในอายุรเวทและมีการใช้ประโยชน์ในการแพทย์แผนไทยด้วย ซึ่งมีชื่อสันสกฤต ชื่อวิทยาศาสตร์และสรรพคุณในการแพทย์ตะวันตกและสรรพคุณทางอายุรเวท เปรียบเสมือน Materia Medica
เป็นคุณสมบัติข้อ 2 Guna ของการพิจารณาการใช้ประโยชน์สมุนไพร

ลำดับ สรรพคุณทางฮินดู สรรพคุณทางแพทย์ ชื่อสันสกฤต ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อไทย สรรพคุณไทย*
1 Angamarda-prashamana antispasmodic Vidarigandha Costus speciosus เอื้องหมายนา แก้ปวดเกร็ง
2 Anulomana cathartic Haritaki Terminalia chebula สมอไทย ยาถ่าย
3 Arshogna haemostatic Indrayava Wrightia antidysenterica ตระกูลเดียวกับโมกมัน หยุดเลือด
4 Artavotpadaka emmenagogue Jotishmati Cardiospermum helicacabum โคกกระออม ขับประจำเดือน
5 Ashmarighna litholytic Gokshura Tribulus terrestris โคกกระสุน สลายนิ่ว
6 Bhedana purgative Katuki Picorrhiza kurroa โกฐก้านพร้าว ยาถ่าย
7 Chardinigrahana anemetic Dadima Punica granatum ทับทิม ถ่ายพยาธิ
8 Chhedana laxative Marichi Piper nigrum พริกไทย ยาระบาย
9 Dahaprashamana antipyretic Ushira Andropogon nardus ตะไคร้หอม แก้ไข้
10 Dambha escharotic Bhallataka Semecarpus anacardium มะม่วงหิมพานต์ กัดหูด ตาปลา
11 Deepaneeya stomachic Pippalimoola Piper longum ดีปลี บำรุงธาตุ
12 Garbhasravi ecbolic Grinjana Daucus carota แครอต บีบมดลูกเร่งคลอด
13 Grahi carminative Jeeraka Cuminum cyminum ยี่หร่า ขับลม
14 Kafahara antiphlegmagogue Bibheetaka Terminalia bellerica สมอพิเภก ระงับเสมหะ (ไตรธาตุ)
15 Kafakara phlegmagogue Ikshu Saccharum officinarum อ้อย กระตุ้นเสมหะ (ไตรธาตุ)
16 Kandughna antipsoric Chandana Santalum album จันทนา แก้คัน

เอกสารอ้างอิง

  1. จาก History of Hindu Medical Science โดย Bhagvat Sinh Jee, Logos Press, New Delhi, 1895 (reprinted 1998) อยู่ในห้องสมุด Aligahr Muslim University, Aligahr, India และหาอ่านได้จากinternet
Others articles

บทความที่เนื้อหาเกี่ยวข้องกับบทความนี้

Public Knowledge Articles



View all articles
-->

-

 ปรับขนาดอักษร 

+

Faculty of Pharmacy, Mahidol University.

447 Sri-Ayuthaya Road, Rajathevi, Bangkok 10400, THAILAND
Designed & Developed by Department of Information Technology, Faculty of Pharmacy, Mahidol University.
Copyright © 2013-2020
 

We use Cookies

This site uses cookies to personalise your experience and analyse site traffic. By Clicking ACCEPT or continuing to browse the site you are agreeing to our use of cookies.