หน่วยคลังข้อมูลยา
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

VEGF pathway inhibitors...ความเสี่ยงต่อเอออร์ตาโป่งพอง (aortic aneurysm) และเอออร์ตาฉีก (aortic dissection)

ข่าวประจำสัปดาห์ที่ 2 เดือน สิงหาคม ปี 2563 -- อ่านแล้ว 1,979 ครั้ง
 
ยาในกลุ่ม vascular endothelial growth factor (VEGF) pathway inhibitors มีบทบาทมากในการรักษาโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ ตัวอย่างยา เช่น aflibercept, axitinib, bevacizumab, lenvatinib, pazopanib, regorafenib, sorafenib, sunitinib การเกิดหลอดเลือดแดงใหญ่หรือเอออร์ตาโป่งพอง (aortic aneurysm) และเอออร์ตาฉีก (aortic dissection) เป็นภาวะร้ายแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ในเอกสารที่เป็นข้อมูลผลิตภัณฑ์ยา VEGF pathway inhibitors บางชนิดได้ระบุถึงผลข้างเคียงของยาเกี่ยวกับเอออร์ตาฉีก การแตกของหลอดเลือดโป่งพอง (aneurysm rupture) หรือเอออร์ตาโป่งพองและฉีก ไว้แล้ว โดยผลิตภัณฑ์เหล่านั้นได้ระบุว่าปัจจัยเสี่ยงคือโรคความดันโลหิตสูง

เมื่อไม่นานมานี้ในยุโรปได้มีการทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดหลอดเลือดโป่งพองและเอออร์ตาฉีกในผู้ที่ใช้ยา VEGF pathway inhibitors ชนิดที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย พบรายงานที่สงสัยว่าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวนับถึงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2018 มีจำนวน 660 รายงาน ความผิดปกติที่พบมาก ได้แก่ เอออร์ตาฉีก (n=163), หลอดเลือดโป่งพอง (n=146), หลอดเลือดจอตาโป่งพอง (n=93), เอออร์ตาโป่งพอง (n=89), การแตกของเอออร์ตาโป่งพอง (n=43), หลอดเลือดในสมองโป่งพอง (n=34) และการแตกของหลอดเลือดโป่งพอง (n=31) ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากการแตกของเอออร์ตาโป่งพองและเอออร์ตาฉีก ซึ่งการเกิดออร์ตาโป่งพองและเอออร์ตาฉีกพบมากในผู้ที่อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตามเป็นการยากที่จะระบุความถี่ที่แน่ชัดของความผิดปกติเหล่านี้ การเกิดเอออร์ตาฉีกและหลอดเลือดโป่งพองอาจอยู่ในช่วงราว 0.02-0.15% ส่วนปัจจัยเสี่ยงในผู้ป่วยเหล่านี้เท่าที่มีข้อมูลพบว่าเกือบครึ่งหนึ่ง (49%) คือโรคความดันโลหิตสูง ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคโคเลสเตอรอลในเลือดสูงหรือโรคไขมันในเลือดสูง การมีประวัติของเอออร์ตาโป่งพอง โรคหัวใจและหลอดเลือด และการสูบบุหรี่

ผลจากการทบทวนข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ทำให้เมื่อเร็ว ๆ นี้ในสหราชอาณาจักรได้ให้ข้อมูลและข้อแนะนำเกี่ยวกับการใช้ VEGF pathway inhibitors ชนิดที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกายไปยังบุคลากรทางการแพทย์ดังนี้

 การใช้ VEGF pathway inhibitors อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดโป่งพองและเอออร์ตาฉีก ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีหรือไม่มีโรคความดันโลหิตสูง

 หลอดเลือดโป่งพองและเอออร์ตาฉีกพบไม่บ่อย แต่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นก่อนเริ่มการรักษาด้วย VEGF pathway inhibitors ควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดโป่งพองและเอออร์ตาฉีก ในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคความดันโลหิตสูง การมีประวัติของเอออร์ตาโป่งพอง การสูบบุหรี่ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองหรือบริเวณอื่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง ตลอดจนปัจจัยเสี่ยงอื่น ได้แก่ Marfan syndrome, vascular Ehlers-Danlos syndrome, Takayasu arteritis, giant cell arteritis, Behcet’s disease และการใช้ fluoroquinolones (ดูข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง Fluoroquinolones กับความเสี่ยงต่อเอออร์ตาโป่งพอง (aortic aneurysm) และฉีก)

 ผู้ที่ได้รับยาในกลุ่ม VEGF pathway inhibitors ควรลดปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่สามารถทำได้ลงให้มากที่สุด เช่นโรคความดันโลหิตสูงและการสูบบุหรี่ และควรติดตามผลการรักษาโรคความดันโลหิตสูงของผู้ป่วย

อ้างอิงจาก:

(1) Systemically administered VEGF pathway inhibitors: risk of aneurysm and artery dissection. Drug Safety Update volume 13, issue 12: July 2020; (2) Spigset O. Drug-induced aortic aneurysms, ruptures and dissections. https://www.intechopen.com/books/etiology-pathogenesis-and-pathophysiology-of-aortic-aneurysms-and-aneurysm-rupture/drug-induced-aortic-aneurysms-ruptures-and-dissections
 
ข่าวยาล่าสุด
    ดูข่าวยาทั้งหมด


หน่วยคลังข้อมูลยา

447 ถ.ศรีอยุธยา แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
 
ออกแบบและพัฒนาโดย งานเทคโนโลยีสารสนเทศฯ คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล
Copyright © 2013-2020
 
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เราใช้เทคโนโลยีคุกกี้เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างถูกต้อง การเปิดให้ใช้คุณสมบัติทางโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าเว็บไซต์ของเรา การใช้งานเว็บไซต์ต่อถือว่าคุณยอมรับการใช้งานคุกกี้