หน่วยคลังข้อมูลยา
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ยาที่อาจทำให้ลูกในท้องพิการ...จะเลือกการคุมกำเนิดวิธีใด?

ข่าวประจำสัปดาห์ที่ 2 เดือน มีนาคม ปี 2562 -- อ่านแล้ว 4,232 ครั้ง
 

ยาหลายชนิดที่จำเป็นต่อการรักษาโรคแต่มีศักยภาพที่จะทำให้ลูกในท้องพิการ (teratogenic potential) หากมารดาใช้ยาขณะตั้งครรภ์ เช่น ยาต้านไทรอยด์ (ดูข้อมูลเพิ่มเติมในข่าวยาเรื่อง “ยาต้านไทรอยด์ (carbimazole, methimazole)...เตือนถึงความเสี่ยงต่อการทำให้ลูกในท้องพิการ” ได้ที่ https://pharmacy.mahidol.ac.th/dic/news_week_full.php?id=1496), dolutegravir ซึ่งเป็นยาต้านไวรัส (ดูข้อมูลเพิ่มเติมในข่าวยาเรื่อง “Dolutegravir กับความบกพร่องของท่อประสาท (neural tube defects)” ได้ที่ https://pharmacy.mahidol.ac.th/dic/news_week_full.php?id=1471), valproate ซึ่งเป็นต้านโรคลมชัก (ดูข้อมูลเพิ่มเติมในข่าวยาเรื่อง “Valproate กับการห้ามใช้ในผู้ที่มีโอกาสตั้งครรภ์” ได้ที่ https://pharmacy.mahidol.ac.th/dic/news_week_full.php?id=1455), mycophenolate mofetil และ mycophenolic acid ซึ่งเป็นยากดภูมิคุ้มกัน (ดูข้อมูลเพิ่มเติมในข่าวยาเรื่อง “Mycophenolate mofetil/mycophenolic acid กับข้อแนะนำให้คุมกำเนิดแม้ใช้ยาเหล่านี้ในผู้ชาย” ได้ที่ https://pharmacy.mahidol.ac.th/dic/news_week_full.php?id=1445) และยาอื่นอีกหลายอย่างรวมถึง thalidomide และ isotretinoin ความเสี่ยงของยาที่จะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์เกิดได้ทุกระยะของการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสแรก (first trimester) หรือช่วงเริ่มตั้งครรภ์จนถึงอายุครรภ์ราว 12 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงที่ทารกในครรภ์มีการสร้างอวัยวะ ดังนั้นผู้ที่จะใช้ยาที่เสี่ยงต่อการทำให้ลูกในท้องพิการต้องเป็นผู้ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์หรือเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ต้องผ่านการทดสอบว่าไม่ได้ตั้งครรภ์และช่วงที่ใช้ยาควรใช้วิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง

การทดสอบการตั้งครรภ์ มีข้อควรคำนึงดังนี้

 อาจไม่สามารถตรวจได้หากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงไม่ถึง 3 สัปดาห์ก่อนหน้าที่จะทดสอบ

 เมื่อเริ่มใช้วิธีการคุมกำเนิด (แนะนำให้ใช้วิธีที่มีประสิทธิภาพสูง ดูข้อมูลข้างล่าง) ผู้มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ควรทดสอบซ้ำที่ 3 สัปดาห์หลังจากการเริ่มการคุมกำเนิด (แม้ว่าการทดสอบครั้งแรกจะให้ผลเป็นลบ)

 การคุมกำเนิดวิธีต่างๆ มีประสิทธิภาพต่างกัน บางวิธีอาจมีความจำเป็นต้องทดสอบการตั้งครรภ์ใหม่ทุกครั้งก่อนที่จะให้การคุมกำเนิดต่อเนื่องในครั้งต่อไป หรือก่อนการสั่งใช้ยาที่เสี่ยงต่อการทำให้ลูกในท้องพิการในแต่ละคราว (ดูตาราง) เพราะการคุมกำเนิดอาจเกิดความล้มเหลวได้

การเลือกวิธีคุมกำเนิด มีข้อควรคำนึงดังนี้

 แม้ว่าวิธีการคุมกำเนิดชนิดใหม่ๆ หากมีการใช้อย่างถูกต้อง (perfect use) จะมีอัตราความล้มเหลวต่ำ (0.03-0.6%) อย่างไรก็ตามภายใต้การใช้ตามปกติทั่วไป (typical use) ซึ่งอาจมีความผิดพลาดที่เกิดจากผู้ใช้ (เช่น การลืมรับประทานกรณีที่เป็นยาเม็ดคุมกำเนิด การเริ่มแผงใหม่ล่าช้า) หรือมีการใช้ร่วมกับยาอื่นที่อาจรบกวนประสิทธิภาพของยา (เกิด drug interaction) ทำให้มีอัตราความล้มเหลวสูงขึ้น

 ความเสี่ยงต่อความผิดพลาดที่เกิดจากผู้ใช้นั้น หากเป็นชนิดยาเม็ดคุมกำเนิดจะมีความเสี่ยงสูงกว่าวิธีคุมกำเนิดชนิดที่ออกฤทธิ์นาน (long-acting reversible contraceptive method) และการคุมกำเนิดแบบหลั่งภายนอกหรือการนับวันตกไข่จะมีความเสี่ยงต่อความผิดพลาดได้สูงที่สุด

 วิธีการคุมกำเนิดที่ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงจะมีอัตราความล้มเหลวภายใต้การใช้ตามปกติทั่วไป (“typical-use failure rate”) น้อยกว่า 1% เช่น การทำหมันฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง การคุมกำเนิดชนิดที่ออกฤทธิ์นาน (ได้แก่ การใส่ห่วงอนามัยและยาคุมกำเนิดแบบฝัง)

 ยาฉีดที่มีฮอร์โมนโพรเจสโตเจนอย่างเดียว (progestogen-only injection) อาจจัดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงหากฉีดตรงตามกำหนดและฉีดโดยบุคลากรทางการแพทย์ อย่างไรก็ตามอาจพบ “typical-use failure rate” ได้ถึง 6% ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากความล่าช้าในการให้ยาซ้ำในแต่ละคราว

 การคุมกำเนิดวิธีอื่นที่จัดว่ามีประสิทธิภาพ ได้แก่ ยาคุมกำเนิดประเภทฮอร์โมนรวม (ไม่ว่าจะเป็นชนิดยาเม็ด ยาแผ่นแปะ หรือวงแหวนสอดช่องคลอด) และยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนโพรเจสโตเจนอย่างเดียว อย่างไรก็ตามอาจพบ “typical-use failure rate” ได้สูงถึง 9%

 การคุมกำเนิดวิธีอื่น เช่น การนับวันตกไข่ การหลั่งภายนอก เหล่านี้ไม่จัดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพและไม่ใช้วิธีดังกล่าวโดยลำพังในการคุมกำเนิดในผู้ที่ใช้ยาชนิดที่เสี่ยงต่อการทำให้ลูกในท้องพิการ

อ้างอิงจาก:

(1) Medicines and Healthcare products Regulatory Agency (MHRA). Pregnancy testing and contraception for pregnancy prevention during treatment with medicines of teratogenic potential, version 1, March 2019. https://assets.publishing.service.gov.uk/media/5c936a4840f0b633f5bfd895/pregnancy_testing_and_contraception_table_for_medicines_with_teratogenic_potential_final.pdf; (2) Medicines with teratogenic potential: what is effective contraception and how often is pregnancy testing needed? Drug Safety Update volume 12, issue 8: March 2019:3; (3) Bastow BD. Teratology and drug use during pregnancy. https://emedicine.medscape.com/article/260725-overview

คำค้นที่เกี่ยวข้อง:
ลูกในท้องพิการ teratogenic potential ยาต้านไทรอยด์ carbimazole methimazole ยาต้านไวรัส dolutegravir neural tube defects valproate mycophenolate mofetil mycophenolic acid thalidomide isotretinoin ไตรมาสแรก first trimester ยาเม็ดคุมกำเนิ
 
ข่าวยาล่าสุด
    ดูข่าวยาทั้งหมด


หน่วยคลังข้อมูลยา

447 ถ.ศรีอยุธยา แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
 
ออกแบบและพัฒนาโดย งานเทคโนโลยีสารสนเทศฯ คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล
Copyright © 2013-2020
 
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เราใช้เทคโนโลยีคุกกี้เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างถูกต้อง การเปิดให้ใช้คุณสมบัติทางโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าเว็บไซต์ของเรา การใช้งานเว็บไซต์ต่อถือว่าคุณยอมรับการใช้งานคุกกี้