Hydroxyethyl starch (HES) solution เป็น synthetic colloid solution ใช้เพิ่มปริมาตรเลือด (blood volume expander) ที่ผ่านมามีการใช้ HES solution กันอย่างแพร่หลาย โดยใช้ชดเชยการสูญเสียเลือดในผู้ป่วยหนักขั้นวิกฤตที่มีความดันโลหิตตกอย่างฉับพลัน ข้อมูลจากการศึกษาเปรียบเทียบการใช้ HES กับสารที่ใช้เพิ่มปริมาตรเลือดชนิดอื่นพบว่าการใช้สาร HES จะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไตวาย (kidney failure) และอาการไม่พึงประสงค์อื่น เช่น การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (coagulopathy), อาการคัน (pruritus) และการเพิ่มอัตราการตายในระยะยาว ตามข้อมูลที่เคยนำเสนอใน “ข่าวยา” ก่อนหน้านี้ องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้ยาของหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยได้ทำการทบทวนข้อมูลด้านประโยชน์และความปลอดภัยในการใช้ HES เพื่อหามาตรการที่เหมาะสม
จากข้อมูลล่าสุดมีบางประเทศได้ดำเนินการในเรื่องนี้แล้ว เช่น ประเทศสหราชอาณาจักร (UK) ได้จำกัดข้อบ่งใช้ของ HES โดยให้ใช้เฉพาะเพื่อรักษาภาวะปริมาตรเลือดน้อย (hypovolemia) ที่มีเหตุจากการเสียเลือดเฉียบพลันในกรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่าการใช้พวก crystalloids โดยลำพังให้ประสิทธิผลไม่เพียงพอ พร้อมทั้งปรับปรุงข้อห้ามและคำเตือนใหม่ โดยห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ HES ในหลายกรณี เช่น เกิดภาวะพิษเหตุจากการติดเชื้อ (sepsis) การบาดเจ็บจากแผลไหม้ (burn injuries) ผู้ป่วยหนักขั้นวิกฤต ผู้ป่วยที่ไตทำงานบกพร่อง (ดูเพิ่มเติมในตาราง) เพราะผู้ป่วยเหล่านี้จะเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อไตและเสียชีวิต และในการใช้ HES นั้นให้ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกของการกู้ชีพเท่านั้น ขนาดสูงสุดต่อวันคือ 30 มิลลิลิตร/กิโลกรัม หากใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะบาดเจ็บ (trauma) และกรณีที่ต้องรับการผ่าตัดให้พิจารณาอย่างรอบคอบถึงประโยชน์และความปลอดภัยและควรพิจารณาทางเลือกอื่นหากเป็นไปได้ ในรายที่ได้รับ HES แนะนำให้ติดตามการทำงานของไตไปนานอย่างน้อย 90 วัน และให้หยุดยาทันทีที่เริ่มเห็นสัญญาณว่าเกิดอันตรายต่อไตหรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับการเกิดลิ่มเลือด (blood clotting)
อ้างอิงจาก
(1) PRAC confirms that hydroxyethyl-starch solutions (HES) should no longer be used in patients with sepsis or burn injuries or in critically ill patients. ema.europa.eu/docs/en_GB/document_library/Press_release/2013/10/WC500151964.pdf; (2) Hydroxyethyl starch intravenous infusions to be used only in patients with acute blood loss and when crystalloids alone are not sufficient. Drug Safety Update volume 8 issue 5, December 2014: A3. http://www.mhra.gov.uk/Safetyinformation/DrugSafetyUpdate/CON491131