![]() |
ตกขาวเป็นลักษณะปกติที่เกิดขึ้นได้ในผู้หญิงทั่วไป เนื่องจากที่ผนังด้านในช่องคลอดสร้างสารเมือกที่มีลักษณะคล้ายแป้งเปียกเพื่อช่วยหล่อลื่นช่องคลอด ช่วยขับสิ่งแปลกปลอม และปรับสภาพความเป็นกรดด่างในช่องคลอด แต่สารเมือกนี้มักไม่มีกลิ่นและไม่ทำให้เกิดอาการคันหรือระคายเคือง และมักหายได้เองโดยไม่ต้องให้การรักษาใด ๆ
ตกขาวที่ผิดปกติอาจพบได้ทั้งการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นและสี หรือมีลักษณะข้นคล้ายตะกอนนม มีฟอง มีปริมาณมากผิดปกติ และอาจมีอาการคันหรืออักเสบบวมแดงที่อวัยวะเพศร่วมด้วย ลักษณะเหล่านี้ขึ้นกับสาเหตุที่แตกต่างกัน เช่น จากการติดแบคทีเรีย (bacterial vaginosis) พยาธิ (trichomoniasis) หรือเชื้อรา (vulvovaginal candidiasis) นอกจากนี้พฤติกรรมบางอย่างอาจส่งเสริมให้เกิดตกขาวผิดปกติได้ง่าย เช่น การฉีดล้างช่องคลอด การใช้สบู่หอม การใช้สารฆ่าอสุจิ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้อาจทำให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองช่องคลอด ทั้งนี้การลดลงของฮอร์โมนเพศหญิงในวัยหมดประจำเดือนจะทำให้เยื่อบุช่องคลอดบางลง ก็ทำให้ช่องคลอดเกิดอาการคันและแสบร้อนได้เช่นกัน สำหรับการตกขาวจากสาเหตุต่าง ๆ มีสาเหตุ อาการ ปัจจัยเสี่ยง รวมถึงวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน
สาเหตุ: เกิดจากการลดลงของแบคทีเรียชนิด lactobacilli ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรคในช่องคลอด ทำให้แบคทีเรียก่อโรคมีจำนวนเพิ่มขึ้นจนเกิดการอักเสบของช่องคลอด(3)
อาการ: ตกขาวสีเทา มีกลิ่นเหม็นเหมือนคาวปลา คัน อาจมีปัสสาวะแสบขัดหรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ร่วมด้วย บางรายอาจไม่แสดงอาการผิดปกติ(2)
ปัจจัยเสี่ยง: การสวนล้างช่องคลอด การคุมกำเนิดโดยการใส่ห่วงอนามัย อาจเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรืออาหารบางอย่าง เช่น ของหมักดอง ของคาวจัด(3)
การรักษา(2)
ยาที่แนะนำเป็นลำดับแรก |
metronidazole 400 mg รับประทานวันละ 2 ครั้ง 7 วัน |
metronidazole 750 mg เหน็บช่องคลอดวันละครั้ง 7 วัน |
|
ยาทางเลือก |
tinidazole 2 g รับประทานวันละครั้ง 2 วัน |
tinidazole 1 mg รับประทานวันละครั้ง 5 วัน |
|
clindamycin 300 mg รับประทานวันละ 2 ครั้ง 7 วัน |
*แนะนำไม่ให้ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ระหว่างการรักษารวมถึง 24 ชั่วโมง หลังรับประทาน metronidazole และ 72 ชั่วโมง หลังรับประทาน tinidazole เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการ disulfram-like reaction (มีอาการหน้าร้อนวูบวาบ ปวดศีรษะ หายใจลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน แน่นหน้าอก เป็นต้น)(2)
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา: อาจมีอาการปวดท้องและคลื่นไส้(2)
การรักษาคู่นอน: ไม่จำเป็นต้องรักษาคู่นอน(3)
หญิงตั้งครรภ์/หญิงให้นมบุตร(2)
- หญิงตั้งครรภ์ให้ใช้ metronidazole ได้เหมือนบุคคลทั่วไป
- หญิงให้นมบุตรที่ใช้ metronidazole แนะนำให้เลื่อนการให้นมบุตรหลังรับประทานยา นาน 12-24 ชั่วโมง
- ไม่ควรให้ tinidazole ในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากยังไม่มีผลการศึกษาที่ชัดเจน
สาเหตุ: เกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัวชื่อ Trichomonas vaginalis ซึ่งมีขนาดเล็กใกล้เคียงเม็ดเลือดขาว (มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น) เชื้อนี้มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลาทำให้เกิดการระคายเคืองมาก สามารถตรวจพบได้ในน้ำอสุจิและน้ำในช่องคลอด(4)
อาการ: ตกขาวสีเหลืองออกเขียว มีกลิ่น อาจมีอาการแสบระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ ปากมดลูกอักเสบ(2)
ปัจจัยเสี่ยง: เปลี่ยนคู่นอนบ่อย มีประวัติในการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ(4)
การรักษา(2)
ยาที่แนะนำในการรักษา |
metronidazole 2 g รับประทานครั้งเดียว |
metronidazole 400-500 mg รับประทานวันละ 2 ครั้ง 5-7 วัน |
|
ยาทางเลือก |
tinidazole 2 g รับประทานวันครั้งเดียว หากยังมีอาการให้ใช้ - metronidazole 2 g รับประทานวันละครั้ง 5-7 วัน หรือ - metronidazole 800 mg รับประทานวันละ 3 ครั้ง 7 วัน |
*แนะนำไม่ให้ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ระหว่างการรักษารวมถึง 24 ชั่วโมง หลังรับประทาน metronidazole และ 72 ชั่วโมง หลังรับประทาน tinidazole เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการ disulfram-like reaction (มีอาการหน้าร้อนวูบวาบ ปวดศีรษะ หายใจลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน แน่นหน้าอก เป็นต้น)(2)
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา: ทั้งแบบยาเม็ดรับประทานหรือยาเหน็บ อาจมีอาการปวดท้อง และคลื่นไส้(2)
การรักษาคู่นอน: คู่นอนควรได้รับการแนะนำให้มาตรวจรักษาและให้การรักษาเช่นเดียวกับผู้ป่วย(2)
หญิงตั้งครรภ์/หญิงให้นมบุตร(2)
- หญิงตั้งครรภ์ให้ใช้ metronidazole ได้เหมือนบุคคลทั่วไป
- หญิงให้นมบุตรให้ใช้ metronidazole 2 g และแนะนำให้เลื่อนการให้นมบุตรหลังรับประทานยา นาน 12-24 ชั่วโมง
- ไม่ควรให้ tinidazole ในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากยังไม่มีผลการศึกษาที่ชัดเจน
สาเหตุ: เชื้อราชนิดที่สัมพันธ์กับการเกิดอาการช่องคลอดอักเสบส่วนใหญ่ คือ Candida albicans เพราะเป็นเชื้อที่สามารถยึดติดกับเซลล์เยื่อบุช่องคลอดได้ดี(5)
อาการ: ตกขาวลักษณะคล้ายตะกอนนม คันและช่องคลอดแดงอักเสบบวม หรือมีรอยแตก ปัสสาวะแสบขัด(2)
ปัจจัยเสี่ยง: การใช้ยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่ได้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ที่ภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวีหรือผู้รับการบำบัดด้วยยาคอร์ติโคสเตียรอยด์(5)
การรักษาเชื้อราในช่องคลอด(2)
ชนิดเฉียบพลัน
- clotrimazole 500 mg เหน็บช่องคลอดครั้งเดียว
- clotrimazole 200 mg เหน็บช่องคลอด 3 วัน
- clotrimazole 100 mg เหน็บช่องคลอด 6-7 วัน
- miconazole 200 mg เหน็บช่องคลอด 3 วัน
- fluconazole 150-200 mg รับประทานครั้งเดียว
- itraconazole 200 mg รับประทานวันละ 2 ครั้ง 1 วัน
ชนิดเรื้อรัง (เป็นซ้ำบ่อยตั้งแต่ 4 ครั้งต่อปีขึ้นไป)
- clotrimazole 100 mg เหน็บช่องคลอด 14 วัน จากนั้น clotrimazole 500 mg เหน็บช่องคลอด สัปดาห์ละครั้ง 6 เดือน
- fluconazole 100-200 mg รับประทานทุก 3 วัน 3 ครั้ง ตามด้วย fluconazole 100-200 mg รับประทานทุกสัปดาห์ 6 เดือน
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา(2)
- ยาเฉพาะที่ไม่พบผลข้างเคียงต่อร่างกาย แต่อาจมีอาการแสบร้อนเฉพาะที่
- ยารับประทานอาจมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง ปวดศีรษะ
การรักษาคู่นอน: หากมีอาการคันและอักเสบแดงของอวัยวะเพศ ให้ยาทาฆ่าเชื้อราเพื่อการรักษา(2)
หญิงตั้งครรภ์/หญิงในระยะให้นมบุตร(2)
- ห้ามใช้ยารับประทาน ให้ใช้ clotrimazole 500 mg เหน็บช่องคลอด ครั้งเดียว หรือ clotrimazole 200 mg เหน็บช่องคลอด วันละครั้ง นาน 3 วัน
- หากอาการยังไม่ดีขึ้นหลังรักษาระยะสั้น ให้ใช้ clotrimazole 100 mg เหน็บช่องคลอด วันละครั้ง นาน 7-14 วัน
ตกขาวเป็นภาวะที่พบได้ทั่วไปในผู้หญิง แต่เมื่อตกขาวมีสี กลิ่น ลักษณะ หรือปริมาณที่ผิดปกติ อาจเกิดจากการติดเชื้อรา แบคทีเรีย หรือพยาธิ โดยเภสัชกรสามารถช่วยประเมินอาการและจัดหายาเฉพาะที่หรือยารับประทานที่เหมาะสมแก่ผู้ป่วยได้ รวมถึงให้คำแนะนำในการดูแลตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น การสวนล้างช่องคลอดหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อการระคายเคือง ร้านยายังเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ลดความกังวล และประหยัดเวลาโดยไม่ต้องรอพบแพทย์ในกรณีที่อาการไม่รุนแรง ทั้งนี้หากอาการไม่ดีขึ้น การไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อการวินิจฉัยเพิ่มเติมยังคงเป็นสิ่งสำคัญ
![]() |
![]() |