![]() |
เคยได้ยินหรือไม่ว่ามียาที่รักษาได้สารพัดโรค? ทั้งผื่นคัน อาการอักเสบต่าง ๆ ปวดข้อ จนถึงโรคแพ้ภูมิตนเอง หนึ่งในยาที่หลายคนเชื่อว่ามีคุณสมบัติแบบนั้น คือ ‘สเตียรอยด์’ ที่ดูเหมือนจะเป็นคำตอบของทุกปัญหาสุขภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้วสเตียรอยด์เป็นยาครอบจักรวาลที่ปลอดภัยจริงหรือ? แล้วการใช้สเตียรอยด์อย่างไม่เหมาะสมมีผลข้างเคียงอย่างไร? มาทำความรู้จักกับยานี้ไปพร้อมกัน
จริง ๆ แล้วสเตียรอยด์ (steroids) หรือคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) คือ ฮอร์โมนที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เองจากต่อมหมวกไต (ต่อมขนาดเล็กตั้งอยู่ด้านบนไต) สเตียรอยด์มีหน้าที่หลายอย่าง เช่น ยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันเพื่อลดการอักเสบในร่างกาย ควบคุมการตอบสนองต่อความเครียด รวมทั้งกระตุ้นการสร้างน้ำตาลกลูโคสและการสลายไขมัน เพื่อนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานภายในร่างกาย(1) แต่สเตียรอยด์ที่ใช้เป็นยานั้นถูกสังเคราะห์ขึ้น และมักมีความแรงมากกว่าสเตียรอยด์ตามธรรมชาติ ยานี้สามารถลดการอักเสบและอาการแพ้ได้ดี เนื่องจากมีฤทธิ์กดการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกาย ดังนั้นจึงมีบทบาทในการรักษาโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบหลายชนิด เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหืด/หอบหืด ข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคลำไส้อักเสบ และโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง(2,3) จนบางครั้งถูกเรียกว่ายาครอบจักรวาล
สเตียรอยด์มีหลายชนิดและมีความแรงแตกต่างกัน (ตารางที่ 1) อีกทั้งยังมีหลายรูปแบบ ได้แก่ ยารับประทาน ยาสูดพ่น ยาพ่นจมูก ยาทาผิวหนัง ยาฉีดและยาใช้เฉพาะที่ (เช่น หยอดหู หยอดตา เหน็บทวารหนัก) การเลือกใช้ยาแต่ละรูปแบบขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เกิดโรค เช่น โรคสะเก็ดเงินเหมาะกับการใช้ยาทาผิวหนัง หรือโรคหืดเหมาะกับการใช้ยาสูดพ่น ซึ่งการใช้สเตียรอยด์ที่ออกฤทธิ์เฉพาะบริเวณที่เกิดโรคจะช่วยลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ส่วนรูปแบบรับประทานและยาฉีดมีโอกาสที่ยาจะกระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากกว่า จึงเสี่ยงที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยามากกว่า โดยเฉพาะเมื่อใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน(4)
ตารางที่ 1 ตัวอย่างสเตียรอยด์ตามความแรงและรูปแบบการใช้ยา
ความแรง |
ยารับประทาน(5) |
ยาทาผิวหนัง(6) |
ยาสูดพ่น*(7) |
ต่ำ |
- hydrocortisone |
- fluocinolone 0.01% - hydrocortisone 1% - triamcinolone acetonide 0.02% |
- beclometasone dipropionate ขนาด 200-500 ไมโครกรัมต่อวัน - budesonide ขนาด 200-400 ไมโครกรัมต่อวัน - fluticasone propionate ขนาด 100-250 ไมโครกรัมต่อวัน |
ปานกลาง |
- prednisolone - methylprednisolone |
- betamethasone valerate 0.1% - mometasone furoate 0.1% - triamcinolone acetonide 0.1% |
- beclometasone dipropionate ขนาด 500-1000 ไมโครกรัมต่อวัน - budesonide ขนาด 400-800 ไมโครกรัมต่อวัน - fluticasone propionate ขนาด 250-500 ไมโครกรัมต่อวัน |
สูง |
- dexamethasone |
- clobetasol propionate 0.05% - betamethasone dipropionate 0.05% - desoximetasone 0.25% |
- beclometasone dipropionate ขนาดมากกว่า 1000 ไมโครกรัมต่อวัน - budesonide ขนาดมากกว่า 800 ไมโครกรัมต่อวัน - fluticasone propionate ขนาดมากกว่า 500 ไมโครกรัมต่อวัน |
*เป็นการจัดความแรงสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป
สเตียรอยด์เป็นยาที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคหลายประเภท โดยเฉพาะในผู้ที่มีความผิดปกติจากระบบภูมิคุ้มกัน ในบทความนี้ขอยกตัวอย่างประโยชน์ของสเตียรอยด์ในโรคหืดและโรคแพ้ภูมิตนเอง ซึ่งมีสาเหตุจากการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันแล้วกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและทำลายเนื้อเยื่อ(2,3)
อาการข้างเคียงของสเตียรอยด์จะน้อยหรือมากขึ้นอยู่กับความแรงของยาและระยะเวลาการใช้ยา โดยอาจพบอาการข้างเคียงเล็กน้อย (หรือไม่พบ) จากสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น ยาทาผิวหนัง และยาใช้เฉพาะที่ เนื่องจากยาถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อย เช่น ติดเชื้อราในช่องปากหรือภาวะเสียงแหบจากการใช้ยาสูดพ่นที่ไม่ถูกต้อง(7) หรืออาจพบผิวหนังบาง เป็นสิวหรือผื่นจากการใช้สเตียรอยด์ทาผิวหนัง(6,10) เป็นต้น ส่วนยารับประทานและยาฉีด โดยเฉพาะหากต้องใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานานและขนาดยาที่มีความแรงสูง อาจพบอาการข้างเคียงที่รุนแรง ได้แก่ แผลในกระเพาะอาหาร โรคกระดูกพรุน ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคอ้วนที่มีไขมันสะสมในช่องท้อง บริเวณหลังคอมีลักษณะปูดนูนจากการมีก้อนเนื้อและไขมันสะสม โรคต้อหิน โรคต้อกระจก เกิดการตายของเนื้อเยื่อกระดูกแบบไม่มีเลือดมาเลี้ยง มีการติดเชื้อ และพบการเจริญเติบโตช้าในเด็ก(1)
อย่างไรก็ตามมีผู้ป่วยบางรายที่จำเป็นต้องใช้สเตียรอยด์ต่อเนื่องภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้สเตียรอยด์มากที่สุด และมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด
ปัจจุบันพบว่ามีการใช้สเตียรอยด์ชนิดทาผิวหนังอย่างแพร่หลายโดยปราศจากคำแนะนำหรือคำสั่งใช้ยาจากบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งสาเหตุหลักของการใช้สเตียรอยด์ในลักษณะนี้ คือ ความต้องการให้ผิวขาวขึ้น รองลงมา คือ การใช้เพื่อรักษาฝ้า รักษาสิว หรือโรคผิวหนังอื่น ๆ เช่น กลาก แท้จริงแล้วสเตียรอยด์ชนิดทาผิวหนังสามารถทำให้ผิวขาวขึ้นได้ในช่วงแรก เนื่องจากผลการลดอักเสบและทำให้ชั้นผิวหนังบางลง(10) อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงข้างต้นเป็นเพียงผลชั่วคราว การใช้ต่อเนื่องอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวบางลงและไวต่อแสง ซึ่งส่งผลให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิวหนัง ในบางรายหลังจากหยุดใช้ยาพบว่าผิวเกิดจุดด่างดำหรือผื่น(6) นอกจากนี้อาจมีผู้ใช้บางรายที่ไม่พบผลข้างเคียงในระยะแรกจนเกิดความเข้าใจผิดว่ายานี้ปลอดภัย นำไปสู่การใช้สเตียรอยด์อย่างต่อเนื่องโดยไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ(10) รวมถึงบางรายอาจใช้สเตียรอยด์ชนิดทาผิวหนังโดยไม่รู้ตัว เช่น การใช้เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผมที่ผสมสเตียรอยด์ ซึ่งผู้ผลิตไม่ได้ระบุส่วนประกอบนี้อย่างชัดเจนบนฉลาก
การใช้สเตียรอยด์ชนิดสูดพ่นแบบผิด ๆ มักเกิดขึ้นจากการใช้ยาโดยปราศจากข้อบ่งใช้ที่เหมาะสมหรือความเข้าใจผิดของผู้ป่วยเอง เนื่องจากอาจเป็นยาที่เคยให้ผลการรักษาที่ดีจากการใช้ในระยะสั้นหรือชั่วคราวในอดีต(11) ซึ่งการใช้ยาไม่ตรงกับโรคส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นโดยไม่เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ และยังเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการข้างเคียงจากยา อีกทั้งการที่ผู้ใช้ยาเข้าใจผิดและเชื่อฝังใจว่าตนเองเป็นผู้ป่วยโรคหืด ทำให้ยากต่อการแก้ไขความเชื่อนี้ในภายหลัง ส่งผลให้เกิดการวางแผนการรักษาที่ไม่เหมาะสมในระยะยาว(12) นอกจากนี้การสูดพ่นยาไม่ถูกวิธี เช่น กดพ่นยาในปริมาณที่มากเกินไป ใช้เครื่องมือพ่นยาไม่ถูกต้อง และการไม่ล้างปากหลังใช้ยา อาจนำมาซึ่งผลเสียจากการใช้ยา(7,13)
การใช้สเตียรอยด์ชนิดรับประทานอย่างผิดวัตถุประสงค์ยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญในปัจจุบัน โดยพบว่ามีการใช้ยาอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์และมีความเชื่อแบบผิด ๆ เช่น ใช้เพื่อเพิ่มน้ำหนักตัว สร้างความรู้สึกเคลิ้มสุข หรือใช้รักษาโรคต่าง ๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัย(14) โดยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่ามีการใช้ สเตียรอยด์รักษาตนเองอย่างแพร่หลายในบางประเทศโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ และกระดูกหัก(15) นอกจากนี้พบการขายยาชุดที่ประกอบด้วยสเตียรอยด์ชนิดรับประทาน รวมถึงการลักลอบผสมสารสเตียรอยด์ในยาแผนโบราณ เช่น ยาลูกกลอน ยาแคปซูลสมุนไพร ยาน้ำแผนโบราณ และน้ำสมุนไพร(16) เพื่อช่วยให้เกิดผลการรักษา ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง(17) ดังนั้นผู้ป่วยและผู้บริโภคควรรู้เท่าทันเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยสามารถสอบถามข้อมูลเบื้องต้นได้จากเภสัชกรร้านยาใกล้บ้าน
แม้ว่าสเตียรอยด์จะเป็นยาที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันและการอักเสบ เช่น โรคหืด ข้ออักเสบรูมาตอยด์ และโรคแพ้ภูมิตนเอง จนทำให้ยานี้ถูกมองว่าเป็น "ยาครอบจักรวาล" แต่การใช้สเตียรอยด์อย่างไม่เหมาะสมหรือเกินความจำเป็น เช่น ใช้ทาผิวหนังเพื่อให้ผิวขาว หรือใช้ยาชุดและผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ร่วมกับความเชื่อแบบผิด ๆ อาจนำไปสู่ผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น เกิดแผลเลือดออกในทางเดินอาหาร ระดับน้ำตาลในเลือดสูง โรคกระดูกพรุน และการติดเชื้อ ดังนั้นการใช้ยาสเตียรอยด์ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และเภสัชกร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการรักษาโรคและมีความปลอดภัยจากการใช้ยา
![]() |
![]() |