![]() |
ท้องผูก คือ ภาวะมีอุจจาระแข็ง ถ่ายยาก ต้องใช้แรงเบ่งมาก มีอาการท้องอืด แน่นท้อง รู้สึกว่าถ่ายได้ไม่สุดและใช้เวลาในการขับถ่ายนาน ร่วมกับมีการถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้ง/สัปดาห์ และหากมีภาวะท้องผูกต่อเนื่องกันเป็นเวลานานจะจัดว่าเป็นภาวะท้องผูกเรื้อรัง
สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่
- การรับประทานอาหารที่มีกากใยไม่เพียงพอ เนื่องจากอาหารที่มีกากใยสูงจะเพิ่มมวลอุจจาระและกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวทำให้ขับถ่ายอุจจาระได้ดี2
- ภาวะขาดน้ำซึ่งจะทำให้อุจจาระดูดน้ำได้ไม่มากพอในลำไส้และมีความแข็งขึ้นจึงยากต่อการขับถ่าย3
- ขาดการออกกำลังกายก็เป็นสาเหตุหนึ่งเพราะมีผลทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ลดลง4
- ยาบางชนิด เช่น กลุ่มยาระงับปวดกลุ่มโอปิออยด์ (opioids เช่น มอร์ฟีน โคดีอีน) มีผลยับยั้งการบีบตัวและเพิ่มการดูดน้ำกลับในทางเดินอาหาร เป็นผลให้บริเวณลำไส้มีน้ำน้อยลงทำให้อุจจาระมีความแข็งและขับถ่ายยาก5 ยาลดความดันกลุ่มยับยั้งแคลเซียมมีผลลดการเคลื่อนไหวของลำไส้6 ยารักษาพาร์กินสันรวมทั้งยาลดอาการปวดเกร็งช่องท้องที่มีฤทธิ์ต้านโคลิเนอร์จิก (anticholinergic effect)7 อาหารเสริมที่ส่วนประกอบของเหล็ก ยาต้านอาการชักและยาลดกรดที่ประกอบด้วยอะลูมิเนียมและแคลเซียม เป็นต้น
- กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน
- การใช้ยาระบายชนิดกระตุ้นการทำงานของลำไส้ติดต่อกันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานทำให้ลำไส้ชินต่อยาระบาย
- โรคหรือสภาวะบางอย่าง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง (พบได้บ่อยที่สุด) โดยเป็นผลมาจากความความเสียหายของการส่งสัญญาณในระบบประสาทต่อมไร้ท่อ8
- ปัญหาการทำงานของลำไส้อื่น ๆ ที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด
อาการท้องผูกสามารถพัฒนาเป็นภาวะท้องผูกเรื้อรังที่มีความรุนแรงมากขึ้นจนอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง เช่น โรคริดสีดวงทวาร รอยแผลที่เยื่อบุทวารหนัก การได้รับบาดเจ็บของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ภาวะอุจจาระอุดตัน และภาวะไส้ตรงปลิ้น เป็นต้น
ภาวะท้องผูกพบได้ 11-38% ของคนท้อง3 โดยสาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนทางโครงสร้างร่างกายและสรีรวิทยาของระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในระหว่างตั้งครรภ์ และการลดลงของฮอร์โมนโมทิลินซึ่งมีบทบาทในกระบวนการย่อยโดยมีหน้าที่ทำให้ลำไส้หดตัวเพื่อเคลื่อนย้ายอาหารที่ถูกย่อยจากลำไส้เล็กไปยังลำไส้ใหญ่ อาหารที่ถูกย่อยในลำไส้จึงเคลื่อนที่ได้ช้าลง11,12 ร่วมทั้งมีการดูดกลับน้ำที่บริเวณลำไส้เพิ่มมากขึ้นทำให้อุจจาระแห้ง แข็งและถ่ายออกได้ยาก การตั้งครรภ์มีผลทำให้แม่เคลื่อนไหวร่างกายลดลง รวมทั้งการรับประทานวิตามินเสริมยังสามารถส่งผลให้เกิดอาการท้องผูกเพิ่มขึ้นได้13 การขยายขนาดของมดลูกในระหว่างตั้งครรภ์ก็เป็นผลให้เกิดการเคลื่อนที่ของอุจจาระได้ช้าลงเช่นกัน14 ภาวะท้องผูกส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคนท้องและส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้มากขึ้น การรักษาภาวะท้องผูกในคนท้องจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น12,14
แนะนำให้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนเป็นอันดับแรก โดยปฏิบัติดังต่อไปนี้
- รับประทานอาหารที่มีกากใยสูงร่วมกับการดื่มน้ำให้เพียงพอ 1.5-2.0 ลิตรต่อวัน
- หลีกเลี่ยงการดื่มชาซึ่งอาจทำให้ท้องผูกมากขึ้น
- รับประทานนมเปรี้ยว โยเกิร์ตและผลิตภัณฑ์ที่มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์
- ไม่แนะนำให้ใช้นิ้วกระตุ้นการถ่ายอุจจาระในการรักษาท้องผูก
- โน้มลำตัวส่วนบนมาข้างหน้าโดยวางข้อศอกบนข้อเข่า (thinker position) ระหว่างขับถ่ายจะช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายมากขึ้น
- เพิ่มการออกกำลังกายแบบรุนแรงน้อย เช่น เดิน ว่ายน้ำ โยคะ ปั่นจักรยาน ออกกำลังกายในน้ำ เป็นต้น อย่างน้อยวันละ 30 นาที
หากลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วยังมีอาการท้องผูก แนะนำให้เลือกใช้ยาระบายร่วมด้วยเพื่อบรรเทาอาการ
- ผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกระดับรุนแรงน้อย แนะนำเริ่มยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระ (bulk forming laxatives ออกฤทธิ์โดยเพิ่มปริมาณอุจจาระโดยดูดน้ำไว้ในลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้ใหญ่ขยายส่งผลกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวและเกิดการขับถ่าย) หรือยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้ (osmotic laxatives ออกฤทธิ์โดยการดึงน้ำไว้ในช่องลำไส้ใหญ่โดยวิธีออสโมซิสช่วยให้อุจจาระนุ่มและผ่านสำไส้ใหญ่ได้ดีขึ้น)9
- หากใช้ยาแล้วยังไม่ดีขึ้นอาจเริ่มยาระบายชนิดทำให้อุจจาระนุ่ม (stool softeners ออกฤทธิ์โดยดึงน้ำเข้าและไขมันเข้ามาในก้อนอุจจาระทำให้อุจจาระเหลวและขับถ่ายง่าย) โดยควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย
- ไม่แนะนำอย่างยิ่งในการใช้ยาระบายชนิดช่วยหล่อลื่นน้ำอุจจาระ (lubricant laxatives ออกฤทธิ์โดยลดแรงตึงผิวของอุจจาระทำให้เคลื่อนผ่านลำไส้ได้ง่ายและเร็วขึ้น) เช่น น้ำมันแร่ (mineral oil) ในการรักษาท้องผูกเนื่องจากสามารถลดการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันในระหว่างตั้งครรภ์ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะโปรทรอมบินในเลือดต่ำในเด็กแรกเกิดและส่งผลให้มีภาวะเลือดออก17,18 รวมทั้งไม่แนะนำน้ำมันตับปลา (cod liver oil) เนื่องจากอาจทำให้เกิดภาวะเจ็บท้องคลอดก่อนกำหนด และน้ำเกลือไฮเปอร์โทนิก (hyperosmotic saline products) เนื่องจากพบว่าภาวะน้ำคั่งในหญิงตั้งครรภ์19
- ไม่แนะนำให้ใช้ยาระบายชนิดกระตุ้นการทำงานของลำไส้ (stimulant laxatives ออกฤทธิ์โดยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพิ่มการหลั่งของเหลวสู่ภายในลำไส้ ลดการดูดซึมน้ำที่ลำไส้ใหญ่ และเร่งการบีบไล่กากใยอาหาร) เนื่องจากผลข้างเคียงที่พบบ่อย คือ อาการปวดเกร็งท้อง และการใช้เป็นระยะเวลายาวนานอาจส่งผลให้เกิดภาะลำไส้ชินยา เกิดความไม่สมดุลของแร่ธาตุและภาวะขาดน้ำได้จากภาวะท้องเสีย17,19 หากจำเป็นต้องใช้ยาระบายชนิดกระตุ้นการทำงานของลำไส้ในคนตั้งครรภ์จะแนะนำใช้ในระยะสั้นเท่านั้นภายใต้การดูแลของแพทย์
ตารางต่อไปนี้แสดงตัวอย่างข้อมูลยาที่มีหลักฐานอ้างอิงในเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยในคนตั้งครรภ์ที่มีภาวะท้องผูก
ชื่อยา |
Pregnancy categorya |
ขนาดยาและวิธีการใช้ |
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยและข้อควรระวัง |
ยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระ |
|||
Methylcellulose |
B |
ยาเม็ด: 500 mg 2 เม็ด (ไม่เกิน 12 เม็ด/วัน ยาผง: 2 g ละลายน้ำเย็น 240 ml วันละ 3 ครั้ง |
ท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่ควรใช้ในผู้ที่มีลำไส้อุดตัน ไม่ควรรับประทานก่อนนอน |
Psyllium |
C |
2.5 ถึง 30 g ต่อวัน วันละ 1-3 ครั้ง |
|
ยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้ |
|||
Milk of magnesia |
A |
ยาน้ำ 400 mg/5 ml รับประทาน 30-60 ml ก่อนนอน วันละครั้ง |
ระดับแมกนีเซียมในเลือดสูงโดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง |
Lactulose |
B |
15-30 mg ต่อวัน วันละครั้ง |
ท้องอืด ไม่ควรใช้ในผู้ที่แพ้น้ำตาลแลคโตส (lactose intolerance) |
Polyethylene glycol (PEG) |
C |
17 g ละลายในน้ำ 240 ml วันละครั้ง |
ระคายเคืองทางเดินอาหาร ท้องอืด ท้องเสีย คลื่นไส้ |
Saline hyperosmotic products |
X |
ไม่แนะนำ |
ระคายเคืองรูทวาร ภาวะน้ำคั่ง |
ยาระบายชนิดกระตุ้นการทำงานของลำไส้ |
|||
Sennosides |
C |
Standardized senna extract 8.6 mg 2 เม็ด วันละครั้ง ก่อนนอน |
ปวดเกร็งท้อง ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเกิน 7 วัน |
Bisacodyl |
C |
ยาเม็ด: 5-15 mg วันละครั้ง ยาเหน็บช่องคลอด: 10 mg วันละครั้ง |
|
ยาระบายชนิดช่วยหล่อลื่นน้ำอุจจาระ |
|||
Mineral oil |
X |
ไม่แนะนำ |
ลดการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันในระหว่างตั้งครรภ์ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะโปรทรอมบินในเลือดต่ำในเด็กแรกเกิดและเลือดออก |
Castor oil |
X |
ไม่แนะนำ |
เจ็บท้องคลอดก่อนกำหนด |
ยาระบายชนิดทำให้อุจจาระนุ่ม |
|||
Docusate sodium |
ไม่มีข้อมูล |
50-360 mg วันละครั้ง |
- |
aการแบ่งประเภทความปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์ 5 ประเภทตัวอักษรตาม FDA ได้ยกเลิกการใช้แล้ว ในปัจจุบันใช้ระบบใหม่ คือ Pregnancy and Lactation Labeling Rule หรือ PLLR เนื่องจากสามารถเข้าใจและนำไปใช้ได้ง่ายกว่าระบบเดิม โดยการแบ่งประเภทความปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์ 5 ประเภทตัวอักษรแบบเดิมมีความหมายดังนี้
- Class A ยาที่มีการศึกษาในหญิงมีครรภ์เป็นจำนวนมาก และมีข้อมูลเพียงพอว่าไม่ทำให้เกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์ในช่วงไตรมาส 1, 2, 3 และตลอดการตั้งครรภ์
- Class B ยาที่ศึกษาในสัตว์ทดลองแล้วไม่เกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์แต่การศึกษาในหญิงมีครรภ์ยังมีข้อมูลไม่มากพอ
- Class C ยาที่ศึกษาในสัตว์ทดลองแล้วพบว่าทำให้เกิดทารกวิกลรูปและทำให้การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ผิดปกติได้ แต่การศึกษาในหญิงมีครรภ์ยังมีข้อมูลไม่มากพอ
- Class D ยาที่ก่อให้เกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์ของหญิงมีครรภ์ แต่มีความจำเป็นต้องใช้ยานี้ ซึ่งต้องพิจารณาถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้ยานี้ เนื่องจาก สภาวะของหญิงมีครรภ์ในขณะนั้นมีผลให้เป็นอันตรายถึงชีวิต หรือเป็นโรคที่รุนแรง โดยจะใช้ยาเหล่านี้เมื่อยาอื่นที่มีความปลอดภัยกว่าใช้ไม่ได้ หรือมีประสิทธิภาพในการรักษาไม่เพียงพอ
- Class X ยาที่ศึกษาทั้งในสัตว์ทดลองและหญิงมีครรภ์แล้ว พบว่าเกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์ หรือมีเหตุที่ยืนยันถึงอันตรายต่อทารกในครรภ์ จึงห้ามใช้ยานี้ในหญิงมีครรภ์
หากหญิงตั้งครรภ์มีอาการท้องผูกระดับรุนแรงน้อย แนะนำให้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อน หากไม่ได้ผลอาจเริ่มใช้ยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระ (bulk forming laxatives) หรือยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้ (osmotic laxatives) หากใช้ยาแล้วยังไม่ดีขึ้นอาจเริ่มยาระบายชนิดทำให้อุจจาระนุ่ม (stool softeners) หรือยาระบายชนิดกระตุ้นการทำงานของลำไส้ (stimulant laxatives) ตามลำดับ โดยทำร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย
![]() |
![]() |