![]() |
การขับถ่ายปัสสาวะ (ฉี่) เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างระบบประสาท กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ และกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณท่อปัสสาวะ โดยมีการทำงานเป็น 2 ช่วง คือ 1) ช่วงการกักเก็บน้ำปัสสาวะ ในช่วงนี้ระบบประสาทจะส่งสัญญาณมาที่กระเพาะปัสสาวะจนเกิดการขยายขนาดเพื่อรองรับแรงดันและปริมาณของน้ำปัสสาวะที่เข้ามา มีการกระตุ้นให้หูรูดของท่อปัสสาวะหดตัว และเมื่อถึงช่วงความจุที่กระเพาะปัสสาวะสามารถรับได้จะเข้าสู่ 2) ช่วงการขับถ่ายปัสสาวะ ระบบประสาทจะสั่งให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะหดตัวและหูรูดของท่อปัสสาวะคลายตัว เกิดการไหลของน้ำปัสสาวะออกมา[1] ซึ่งในคนปกติที่มีสุขภาพดีส่วนใหญ่จะปัสสาวะเฉลี่ยวันละ 6-7 ครั้ง[2] ขึ้นกับปริมาณน้ำที่บริโภคในแต่ละวัน
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือ urinary incontinence คือ ภาวะที่ไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้ จึงเกิดอาการปัสสาวะเล็ดราด ปัสสาวะบ่อยครั้ง ภาวะดังกล่าวส่งผลต่อการใช้ชีวิต ความมั่นใจและการเข้าสังคมของผู้ป่วย[1,3] ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่พบได้ในผู้ป่วยทุกเพศ ทุกวัย แต่พบได้ค่อนข้างมากในผู้ป่วยสูงอายุ จากรายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2562-2563 พบว่าผู้สูงอายุไทยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ทั้งเพศหญิงและเพศชาย ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ถึง 17.4%[4]
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เกิดจากการทำงานที่ไม่สอดประสานกันระหว่างการควบคุมการปัสสาวะและระบบประสาท หรือจากความผิดปกติที่ส่วนใดส่วนนึง นอกจากนี้สภาวะและความมั่นคงทางจิตใจ รวมถึงสิ่งเร้าภายนอกก็ส่งผลต่อการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้เช่นกัน โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการควบคุมการปัสสาวะที่บกพร่องของร่างกาย ได้แก่[5]
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ที่พบได้บ่อยแบ่งเป็น 5 ประเภท ตามสาเหตุและอาการ ดังนี้[3]
1. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่หลังปวดปัสสาวะอย่างรุนแรง (urge urinary incontinence) อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทหรือการติดเชื้อ ส่งผลให้กระเพาะปัสสาวะไวต่อการกระตุ้น (overactive bladder) รู้สึกอยากปัสสาวะอย่างเร่งด่วน อาการที่พบ เช่น ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะเล็ดราด ตื่นมาปัสสาวะในตอนกลางคืนหรือปัสสาวะขณะหลับ
2. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่จากแรงดันในช่องท้องที่เพิ่มขึ้น (stress urinary incontinence) เกิดจากความหย่อนคล้อยของหูรูดทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้ปัสสาวะเล็ดราดเมื่อมีแรงดันเพิ่มขึ้นในกระเพาะปัสสาวะหรือตัวกระตุ้น เช่น ออกกำลังกาย ใช้แรงมาก ไอหรือจาม อาการที่พบ ปัสสาวะเล็ดออกมาขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ
3. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบบผสม (mixed urinary incontinence) เป็นภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่จากทั้ง urge urinary incontinence และ stress urinary incontinence ทำให้อาการที่เกิดขึ้นจะมีทั้งปัสสาวะบ่อย ตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืนหรือปัสสาวะขณะหลับ และปัสสาวะเล็ดออกมาขณะทำกิจกรรม
4. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่จากการคั่งค้างของปัสสาวะ (overflow urinary incontinence) เกิดจากกระเพาะปัสสาวะหดตัวน้อยจนเกินไปหรือมีการอุดตันของท่อทางเดินปัสสาวะ มักพบในผู้ชายสูงอายุจากการเป็นต่อมลูกหมากโตหรือมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่งผลให้เกิดการคั่งค้างของปัสสาวะ ปัสสาวะไม่สุด รู้สึกไม่สบายตัว อยากปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะเล็ด และปัสสาวะกะปริบกะปรอย
5. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่จากข้อจำกัดทางร่างกาย (functional urinary incontinence) ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะแต่เกิดจากข้อจำกัดทางร่างกาย เช่น อายุที่มากขึ้นการทำงานของร่างกายจึงลดลง โรคความจำเสื่อม โรคพาร์กินสัน โรคทางกระดูก จึงขยับตัวได้ลดลง ส่งผลให้ยากต่อการปัสสาวะ
การรักษามีเป้าหมายเพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ รบกวนการใช้ชีวิตหรือการทำงานให้น้อยลงและลดปัญหาการเข้าสังคมของผู้ป่วย การรักษาสามารถแบ่งได้เป็น 2 วิธีหลัก คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการรักษาโดยใช้ยา
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือการรักษาโดยไม่ใช้ยาที่แนะนำ คือ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ ลดนํ้าหนักในรายที่มีนํ้าหนักตัวมากเกินไป เปลี่ยนแปลงการรับประทานอาหารเพื่อลดการท้องผูก ควบคุมปริมาณน้ำที่รับประทาน รวมถึงปรับเปลี่ยนการใช้ยาโรคประจำตัวโดยปรึกษาและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกร นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับอาการที่จำเพาะ เช่น บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและท่อปัสสาวะปิดสนิทมากยิ่งขึ้น ฝึกกระเพาะปัสสาวะและจัดแจงตารางการปัสสาวะ รวมถึงผ่าตัดทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยบางราย
ตัวอย่างรายการยาชนิดรับประทานสำหรับการรักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในประเทศไทย แสดงในตาราง[5] โดยยาเหล่านี้มีข้อบ่งใช้สำหรับการรักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ชนิด urge urinary incontinence หรือ mixed urinary incontinence ที่มีอาการกระเพาะปัสสาวะไวต่อการกระตุ้น (overactive bladder) และขนาดยาดังกล่าวเป็นขนาดยาในผู้ป่วยที่มีสุขภาพดีและไม่มีโรคประจำตัวอื่นร่วมด้วย สำหรับภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ชนิดอื่น การรักษาด้วยยาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการแสดงที่เกิดขึ้น จึงต้องพิจารณาการใช้ยาเป็นรายบุคคล
ยา |
ขนาดยาแนะนำ (มิลลิกรัม) |
กลไกการออกฤทธิ์ |
ผลข้างเคียงที่อาจพบ |
กลุ่ม anti-cholinergics (anti-muscarinics) |
|||
Oxybutynin[6] |
5-10 |
ลดการทำงานของสารสื่อประสาทที่ชื่อว่า acetylcholine ส่งผลให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะคลายตัว ลดการกระตุ้นกระเพาะปัสสาวะ เพิ่มปริมาตรของกระเพาะปัสสาวะให้รองรับน้ำปัสสาวะได้มากขึ้น ลดความถี่ของการเข้าห้องน้ำ |
ปากแห้ง คอแห้ง ท้องผูก คลื่นไส้อาเจียน ความดันโลหิตสูง ปัสสาวะลำบากปัสสาวะยาก ระมัดระวังการใช้ในผู้สูงอายุ |
Tolterodine[7] |
2-4 |
||
Trospium chloride[8] |
20-60 |
||
Solifenacin[9] |
5-10 |
||
Imidafenacin[10] |
0.1 |
||
กลุ่ม β-3 adrenergic agonists |
|||
Mirabegron[11]
|
25-50 |
ทำให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะคลายตัวในช่วงของการกักเก็บปัสสาวะ ลดอาการปวดปัสสาวะ ลดความถี่ของการเข้าห้องน้ำ |
ความดันโลหิตสูง โพรงจมูกอักเสบ ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ |
ยาเหล่านี้สามารถเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นได้ โดยยาที่ควรระมัดระวังเมื่อใช้ร่วมกันแสดงในตาราง สำหรับยากลุ่ม anti-cholinergics ควรระมัดระวังการใช้ร่วมกับยาที่เพิ่มฤทธิ์ดังกล่าว ดังนั้นก่อนเริ่มการใช้ตัวใดก็ตาม ผู้ป่วยควรได้รับการประเมินโรคเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงก่อนเริ่มการรักษา รวมถึงควรได้รับคำแนะนำในการใช้ยาจากแพทย์หรือเภสัชกร ไม่ควรซื้อยารับประทานด้วยตัวเอง
ยา |
ตัวอย่างยาที่ควรระมัดระวังเมื่อใช้ร่วมกัน |
Oxybutynin[7,12] |
Itraconazole, ketoconazole, miconazole, donepezil, galantamine, rivastigmine, carbamazepine, erythromycin, clarithromycin |
Tolterodine[8,13] |
ห้ามใช้ร่วมกับยาที่ทำให้เกิด prolonged QT interval และยาที่เพิ่มความเสี่ยง |
Trospium chloride[10] |
Morphine, vancomycin, procainamide, pancuronium |
Solifenacin[11]
|
ห้ามใช้ร่วมกับยาที่ทำให้เกิด prolonged QT interval และยาที่เพิ่มความเสี่ยง |
Imidafenacin[12,14,15] |
Itraconazole, erythromycin, clarithromycin และยาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท |
Mirabegron[9]
|
ห้ามใช้ร่วมกับ thioridazine และระมัดระวังการใช้ร่วมกับ sirolimus, propafenone, digoxin, metoprolol และยาทางด้านระบบประสาท |
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เป็นปัญหากวนใจที่พบได้ในทุกเพศทุกวัยและพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ สาเหตุและความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับบุคคล หากอาการไม่รุนแรง มีปัสสาวะเล็ดราดเพียงบางครั้ง สามารถกลั้นปัสสาวะได้ อาจเริ่มต้นรักษาด้วยการปรับพฤติกรรมตามความเหมาะสม ความสะดวกของตนและผู้ดูแล แต่หากมีอาการรุนแรง ปัสสาวะเล็ดราดบ่อยครั้ง ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนทำให้ตื่นกลางดึก หรือมีปัญหาอื่นที่กระทบต่อการดำเนินชีวิตและการปรับพฤติกรรมเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ อาจพิจารณาถึงการใช้ยารักษาร่วมด้วย ทั้งนี้การรักษาด้วยยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อความเหมาะสมในการเลือกยา การใช้ยาและความปลอดภัยของผู้ใช้ยา
![]() |