การต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดคิด สถานการณ์ที่ต้องทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำ การอยู่ต่อหน้าคนจำนวนมาก หลายคนจะมีอาการตื่นเต้นอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ร่างกายจะตอบสนองต่อความตื่นเต้นโดยการกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ (automatic nervous system) ทำให้เกิดการหลั่งอะดรีนาลีน (adrenaline) ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น เหงื่อออก มือเท้าเย็น เป็นต้น ผลจากความตื่นเต้นนี้อาจทำให้ไม่มีสมาธิจดจ่อต่อสิ่งที่กำลังจะทำหรือควบคุมตัวเองไม่ได้ หากอาการนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งหรือมีความรุนแรงมากขึ้น อาจเป็นสัญญาณของโรคแพนิค ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้ที่เป็นได้1
โรคแพนิค (panic disorder) เป็นโรควิตกกังวลชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรง มีสาเหตุมาจากระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ โดยผู้ป่วยจะรู้สึกวิตกกังวลเหมือนว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น เกิดการแสดงออกของร่างกายออกมาเป็นความหวาดกลัวและตื่นตระหนก แม้ว่าในความเป็นจริงจะยังไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เรียกความรู้สึกเช่นนี้ว่า “panic attacks” ซึ่งมักตรวจร่างกายแล้วไม่พบความผิดปกติใด ๆ แม้อาการของโรคแพนิคจะไม่ได้เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่รบกวนชีวิตประจำวันอย่างมาก โดยทั่วไปโรคแพนิคมักพบในช่วงอายุวัยรุ่นและพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย2
อาการของโรคแพนิค ได้แก่ เหงื่อออกมาก หายใจถี่ หายใจไม่ออก หัวใจเต้นแรง ใจสั่น ตัวสั่น รู้สึกชา ไม่สบายท้อง คลื่นไส้ เจ็บแน่นหน้าอก รู้สึกหวาดกลัว สูญเสียการควบคุมตัวเอง เป็นต้น โดยอาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ประมาณ 5-10 นาทีก่อนที่จะสงบลง แต่ในบางกรณีอาจมีอาการนานถึง 1 ชั่วโมง2,3
- พันธุกรรม มีประวัติครอบครัวเป็นโรควิตกกังวล (anxiety) โรคซึมเศร้า (depression) หรือโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว (bipolar disorder)
- การใช้สารเสพติด
- ความเครียด ความวิตกกังวล
- ประสบการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ร้ายแรงในอดีต
- สภาพแวดล้อม
- ปัญหาเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด
- การแยกตัวออกจากสังคม
- ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับคนรอบตัว
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
- ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
การปรับเปลี่ยนแนวคิดและพฤติกรรม เช่น การให้ผู้ป่วยทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวโรคว่าอาการที่เป็นอยู่ไม่ได้อันตรายและสามารถจัดการได้ โดยพฤติกรรมที่สามารถช่วยบรรเทาอาการแพนิค ได้แก่ การฝึกหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อควบคุมการหายใจ การทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น ออกกำลังกาย ทำสมาธิ ทำงานอดิเรกที่ชอบ เป็นต้น4ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้มักทำควบคู่กับการใช้ยาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา โดยยาที่มีใช้ ได้แก่4,5
- ยาต้านเศร้า (antidepressants) ได้แก่ ยากลุ่ม selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) เช่น fluoxetine, paroxetine, sertraline, citalopram และ fluvoxamine เป็นต้น และยากลุ่ม serotonin-norepinephrine reuptake inhibitors (SNRIs) เช่น venlafaxine เป็นต้น ยาทั้งสองกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ค่อนข้างช้า มักใช้สำหรับควบคุมโรคในระยะยาว ผู้ป่วยต้องรับประทานต่อเนื่องถึงจะเห็นผล
- ยาคลายกังวลกลุ่มเบนโซไดอะซีปีน (benzodiazepines) เช่น alprazolam, clonazepam, diazepam เป็นต้น ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์เร็ว แต่การกินติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะทำให้มีผลข้างเคียงคือทำให้เกิดการติดยาได้ ดังนั้นจึงให้ใช้ในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
นอกจากการปรับเปลี่ยนแนวคิด พฤติกรรม และการใช้ยาควบคุมอาการดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังพบว่าในสถานการณ์ที่กระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้น เช่น การสอบหรือการนำเสนองาน บางคนอาจเลือกใช้ยาที่ชื่อว่า propranolol เพื่อลดอาการจากความตื่นเต้นแทน แต่ propranolol สามารถช่วยลดอาการตื่นเต้น และอาการวิตกกังวลจากโรคแพนิคได้จริงหรือไม่?
Propranolol (โพรพราโนลอล) เป็นยายับยั้งตัวรับเบต้าอย่างไม่จำเพาะเจาะจง (nonselective beta-adrenoreceptor antagonist) หรือที่เรียกว่ายากลุ่มเบต้า-บล็อกเกอร์ (beta-blockers) ยาตัวนี้ออกฤทธิ์ยับยั้งตัวรับเบต้า-1 ซึ่งพบมากบริเวณกล้ามเนื้อหัวใจ มีผลลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ ลดปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ และลดความต้องการออกซิเจนของกล้ามเนื้อหัวใจ นอกจากนี้ยังสามารถยับยั้งตัวรับเบต้า-2 ซึ่งพบมากบริเวณหลอดเลือด กล้ามเนื้อเรียบบริเวณหลอดลม และอวัยวะต่าง ๆ เช่น มดลูก ทางเดินอาหาร ตับ เป็นต้น มีผลทำให้กล้ามเนื้อเรียบเกิดการหดตัว และหลอดลมหดเกร็งได้6ผลจากการยับยั้งตัวรับเบต้าดังที่กล่าวมาทำให้มีการนำ propranolol มาใช้ในข้อบ่งใช้ที่หลากหลาย รวมถึงรักษาอาการจากโรคแพนิค โดยยาจะเริ่มออกฤทธิ์หลังรับประทานไป 1-2 ชั่วโมง และมีระยะเวลาในการออกฤทธิ์ 6-12 ชั่วโมง7
Propranolol ในรูปแบบเม็ดที่มีจำหน่ายในประเทศไทยประกอบด้วยตัวยา propranolol hydrochloride ขนาด 10 มิลลิกรัม และ 40 มิลลิกรัม ขนาดยาแนะนำที่ใช้ในแต่ละข้อบ่งใช้มีดังนี้8
ข้อบ่งใช้ |
ขนาดยาต่อวัน (มิลลิกรัม) |
รักษาโรคความดันโลหิตสูง |
160 - 320 |
รักษาอาการเจ็บหน้าอก |
120 - 240 |
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ |
30 - 160 |
ป้องกันโรคไมเกรน |
80 - 160 |
รักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจหนา |
30 - 160 |
รักษาอาการสั่น |
80 - 160 |
รักษาอาการวิตกกังวล |
40 - 120 |
รักษาอาการหัวใจเต้นเร็วในผู้ป่วยไทรอยด์ฮอร์โมนสูง |
30 - 160 |
รักษาโรคเนื้องอกของต่อมหมวกไต ชนิด pheochromocytoma |
30 - 60 |
การใช้ propranolol ในการรักษาอาการตื่นเต้นและอาการวิตกกังวลจากโรคแพนิคในปัจจุบันถือเป็นการใช้ยาแบบนอกข้อบ่งใช้ (off-label)6ซึ่งหมายถึงการใช้ยารักษาภาวะที่นอกเหนือจากที่ระบุในฉลากยา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร จากการศึกษาแบบ meta-analysis ซึ่งรวบรวมผลของการใช้ยาในผู้ป่วยโรคแพนิคจำนวน 4 การศึกษา พบว่า propranolol สามารถลดจำนวนครั้งของการเกิด panic attacks ได้ไม่แตกต่างกับยากลุ่ม benzodiazepines9 แสดงให้เห็นว่า propranolol อาจมีประสิทธิภาพในการนำมาใช้รักษาอาการจากโรคแพนิค โดยขนาดยาเริ่มต้นของ propranolol สำหรับรักษาอาการจากโรคแพนิค คือ รับประทานครั้งละ 10 มิลลิกรัม ก่อนเวลาที่คาดว่าจะมีอาการตื่นเต้นหรืออาการวิตกกังวล 1 ชั่วโมง10 หากอาการไม่ดีขึ้นสามารถเพิ่มขนาดยาได้ถึง 120-320 มิลลิกรัมต่อวัน หากผู้ป่วยสามารถทนต่ออาการข้างเคียงของยาได้9,11
อาการข้างเคียงที่อาจพบ8 ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ฝันร้าย หัวใจเต้นช้าลง มือเท้าเย็น หายใจติดขัด ซึม สับสน เป็นต้น
- หากกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรให้แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง
- หากมีการใช้ยาอื่นร่วมด้วย ให้แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเนื่องจากอาจเกิดปฏิกิริยากันระหว่างยา ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการรักษาได้
- หลีกเลี่ยงการรับประทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างรับประทานยานี้
- ผู้ที่แพ้ยา propranolol หรือส่วนประกอบอื่น ๆ ของเม็ดยา
- ผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวที่ควบคุมไม่ได้
- ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นช้าแบบรุนแรง
- ผู้ที่มีความดันต่ำมาก
- ผู้ที่เป็นโรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
- ผู้ที่มีภาวะเลือดเป็นกรด (metabolic acidosis)
- ผู้ที่มีอาการเจ็บหน้าอกแบบ Prinzmetal ซึ่งเป็นอาการเจ็บหน้าอกระดับรุนแรงจากการที่หลอดเลือดหัวใจหดเกร็งเฉียบพลัน
Propranolol ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการใช้รักษาอาการของการตื่นเต้นและอาการวิตกกังวลจากโรคแพนิค แต่ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร การใช้ propranolol นั้นเป็นเพียงการรักษาอาการจากโรคแพนิคชั่วคราวเท่านั้น จำเป็นต้องมีการรักษาทางจิตใจควบคู่ไปกับการใช้ยาเพื่อปรับสมดุลของสารเคมีในสมองภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมด้วย