แม้ว่าการแพร่ระบาดของเอชไอวีในประเทศไทยมีแนวโน้มที่ลดลง แต่ก็ยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นอยู่ โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกันและการฉีดสารเสพติดที่ไม่ปลอดภัย (1) ดังนั้นการติดเชื้อเอชไอวียังคงเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย อย่างไรก็ตามมียาที่มีประสิทธิภาพดีที่สามารถใช้ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้ในปัจจุบัน บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกท่านได้ทำความรู้จักกับ PrEP และ PEP ซึ่งเป็นสูตรยาที่แนะนำให้ใช้กันในวงกว้างในปัจจุบันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร
PrEP (เพร็พ) ย่อมาจาก Pre-Exposure Prophylaxis คือ การป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี เป็นสูตรยาที่ใช้สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี (2) ได้แก่
- มีคู่นอนหลายคนโดยไม่ป้องกัน
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยกับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี หรือผู้ที่ไม่ทราบผลการติดเชื้อเอชไอวี
- ทำงานให้บริการทางเพศ
- มีความสัมพันธ์แบบชายรักชาย
- ใช้สารเสพติดด้วยวิธีฉีดและใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น
- มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองใน ซิฟิลิส เป็นต้น ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา
งานวิจัยพบว่า PrEP มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันเอชไอวี กล่าวคือช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ จากการมีเพศสัมพันธ์ได้ประมาณ 99% และในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดด้วยวิธีฉีดพบว่า PrEP ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้ออย่างน้อย 74% เมื่อใช้ตามคำสั่งแพทย์อย่างถูกต้อง (2)
PEP (เป็ป) ย่อมาจาก Post-Exposure Prophylaxis คือ การใช้ยาต้านไวรัสหลังจากเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงในการสัมผัสเชื้อเอสไอวี (3) ซึ่งผู้ที่มีความเสี่ยงแบ่งเป็นสองกรณี (4) คือ
- บุคลากรทางการแพทย์หลังสัมผัสจากการทำงาน (occupational PEP, oPEP) เช่น ถูกเข็มฉีดยาตำ หรือมีดบาด สัมผัสเยื่อบุหรือเลือดของคนไข้
- หลังสัมผัสเชื้อที่ไม่ใช่จากการทำงาน (non-occupational PEP, nPEP) เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันด้วยถุงยางอนามัย การถูกล่วงละเมิดทางเพศ การใช้สารเสพติดชนิดฉีดโดยใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น มีบาดแผลและสัมผัสกับสารคัดหลั่ง
PEP มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อแต่ไม่ได้ผล 100% ยิ่งเริ่มใช้ PEP เร็วยิ่งสามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีได้มากกว่า 80% โดยประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการรับประทาน ทั้งนี้ควรใช้ PEP ในสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น ไม่ใช้โดยมุ่งหมายเพื่อแทนที่การใช้วิธีป้องกันอื่น ๆ เป็นประจำ เช่น การใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอและเหมาะสมในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ หรือการป้องกันก่อนสัมผัส (PrEP) และกรณีคิดว่าเพิ่งสัมผัสเชื้อ ให้แจ้งแพทย์ประจำห้องฉุกเฉินทันที (3)
PrEP (4,5) ประเทศไทยแนะนำสูตรยา PrEP ชนิดรับประทาน โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกระหว่างการรับประทานทุกวันและรับประทานเฉพาะช่วงตามคำแนะนำดังตาราง
รูปแบบ PrEP |
รับประทานทุกวัน (Daily) |
รับประทานเฉพาะช่วง (On-Demand) |
กลุ่มที่ใช้ได้ |
ทุกกลุ่ม |
มีความสัมพันธ์แบบชายรักชาย |
สูตรยา |
แพทย์พิจารณาเลือกให้สูตรใดสูตรหนึ่งระหว่าง - Tenofovir disoproxil fumarate + Emtricitabine หรือ Lamivudine - Tenofovir alafenamide + Emtricitabine |
Tenofovir disoproxil fumarate + Emtricitabine |
วิธีรับประทาน |
รับประทานยาแบบ 1-1-1-... คือรับประทานยาวันละ 1 เม็ด ทุกวันเป็นเวลา 7 วัน ก่อนมีเพศสัมพันธ์จากนั้นรับประทานยาวันละ 1 เม็ด ทุกวันเป็นเวลา 7 วัน นับจากที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย |
รับประทานยาแบบ 2-1-1 คือ รับประทานยา 2 เม็ดพร้อมกัน ก่อนมีเพศสัมพันธ์ 2-24 ชั่วโมง และหลังมีเพศสัมพันธ์ รับประทานยาวันละ 1 เม็ด เป็นเวลา 2 วันหลังมีเพศสัมพันธ์ |
ข้อมูลเพิ่มเติม |
กรณีลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ ถ้าลืมจนใกล้ถึงเวลารับประทานเม็ดต่อไป (<6 ชั่วโมง) ให้ข้ามเม็ดที่ลืมไป แล้วรับประทานตามกำหนดการปกติ ไม่ต้องรับประทานชดเชยเป็น 2 เท่า |
หากมีเพศสัมพันธ์ติดต่อกันหรือใกล้เคียงกันหลายวัน ให้รับประทานยาวันละ 1 เม็ดติดต่อกันทุกวันจนถึง 2 วัน หลังมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย |
PEP (4) การใช้ PEP เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ควรใช้้ยาโดยเร็วที่สุดหลังสัมผัส (ภายใน 1-2 ชั่วโมง) และอย่างช้าที่สุดไม่เกิน 72 ชั่วโมง หลังสัมผัส โดยต้องรับประทาน PEP ทุกวันจนครบเป็นเวลา 4 สัปดาห์ หรือ 28 วัน และควรอยู่ภายใต้การติดตามดูแลของแพทย์ หากเริ่ม PEP หลังจากสัมผัสเชื้อมากกว่า 72 ชั่วโมง จากการวิจัยพบว่า PEP มักจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้ แต่ทั้งนี้ขึ้นกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการพิจารณาให้ยา PEP เป็นราย ๆ ไป โดยมียาให้เลือกใช้ดังตาราง
สูตร PEP |
||
แพทย์พิจารณาเลือกให้สูตรใดสูตรหนึ่งระหว่าง - Tenofovir disoproxil fumarate* + Emtricitabine หรือ Lamivudine - Tenofovir alafenamide + Emtricitabine วันละครั้ง |
+ |
Dolutegravir วันละครั้ง (สูตรแนะนำ) |
+ |
ยาต่อไปนี้หนึ่งชนิด วันละครั้ง (สูตรทางเลือก) - Rilpivirine - Atazanavir + ritonavir - Darunavir + ritonavir - Bictegravir |
*กรณีไตมีปัญหาแทน tenofovir disoproxil fumarate ในสูตรด้วย zidovudine ทุก 12 ชั่วโมง
ทั้ง PrEP และ PEP ไม่มีจำหน่ายที่ร้านขายยา ไม่สามารถหาซื้อมารับประทานเองได้ เนื่องจากก่อนการรับประทานยาจะต้องได้รับการตรวจร่างกายที่สถานพยาบาล และยาจะถูกสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น เพื่อเลือกสูตรยาให้เหมาะสมกับผู้ใช้ยามากที่สุด
การตรวจร่างกายประกอบไปด้วย การตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี การทำงานของไต การตั้งครรภ์ การมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น เช่น ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม เป็นต้น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และซี ก่อนเริ่มการใช้ PrEP กับ PEP
ถึงแม้ว่าการใช้ PrEP หรือ PEP จะช่วยลดการติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ควรใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์อื่นอีกมากมาย ซึ่ง PrEP หรือ PEP ไม่สามารถป้องกันได้ และการรับประทานยาต้องเป็นไปตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ตรงเวลาไม่หยุดยาหรือเพิ่มลดขนาดยาเอง นอกจากนี้แล้วหลังจากใช้ยาแล้วควรพบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจร่างกาย และตรวจหาเชื้อเอชไอวีทุก 3 เดือน
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ในการใช้ PrEP และ PEP เช่น คลื่นไส้ ท้องอืด ท้องเสีย ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดท้อง นอนไม่หลับ ซึมเศร้า เป็นต้น ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะหายไปในช่วงเดือนแรกหลังจากเริ่มรับประทานยา ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรง (5) ในส่วนของอาการข้างเคียงรุนแรงที่พบได้ คือ ความผิดปกติของไต ซึ่งผู้ที่ได้รับยาจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับอาการที่บ่งชี้ถึงความผิดปกติของไตวายฉับพลัน ซึ่งอาการนี้ส่วนใหญ่พบในคนอายุมากกว่า 40 ปี หรือมีการทำงานของไตบกพร่องอยู่แล้ว โดยพบได้ประมาณ 0.5% และจะกลับสู่สภาวะเดิมได้หลังจากหยุดรับประทานยา (5)
ความแตกต่างของ PrEP และ PEP ในประเด็นต่าง ๆ สรุปได้ดังตารางต่อไปนี้
สูตรยา |
PrEP |
PEP |
ข้อบ่งใช้ |
ป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี |
ป้องกันหลังการสัมผัสเชื้อเอชไอวี |
เริ่มตอนไหน ? |
รับประทานก่อนสัมผัสเชื้อ 7 วัน |
รับประทานภายใน 72 ชั่วโมง หลังสัมผัสเชื้อ |
หยุดเมื่อไหร่ ? |
หยุดยาหลังสัมผัสเชื้อมาแล้ว 7 วัน และอยู่ภายใต้การพิจารณาของแพทย์ |
รับประทานให้ครบ 28 วัน |
ใครบ้างที่ควรรับประทาน ? |
- มีคู่นอนหลายคนโดยไม่ป้องกัน - มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยกับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี หรือผู้ที่ไม่ทราบผลการติดเชื้อเอชไอวี - ทำงานให้บริการทางเพศ - มีความสัมพันธ์แบบชายรักชาย - ใช้สารเสพติดด้วยวิธีฉีดและใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น - มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองใน ซิฟิลิส เป็นต้น ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา |
- บุคลากรทางการแพทย์หลังสัมผัสจากการทำงาน เช่น ถูกเข็มฉีดยาตำ หรือมีดบาด สัมผัสเยื่อบุหรือเลือดของคนไข้ - หลังสัมผัสเชื้อที่ไม่ใช่จากการทำงาน เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันด้วยถุงยางอนามัย การถูกล่วงละเมิดทางเพศ การใช้สารเสพติดชนิดฉีดโดยใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น มีบาดแผลและสัมผัสกับสารคัดหลั่ง |
ก่อนเริ่มใช้ยา |
- ไปพบแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและพิจารณาให้ยา - มีการตรวจร่างกายก่อนใช้ยา ต้องไม่พบเชื้อเอชไอวี - ไม่ตั้งครรภ์ |
|
หลังเริ่มใช้ยา |
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ - รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด - มาพบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจร่างกาย และอาการไม่พึงประสงค์จากยา - ตรวจหาเชื้อเอชไอวีทุก 3 เดือน |