Eng |
อาจารย์ ดร. ภก.อนันต์ชัย อัศวเมฆิน
ภาควิชาเภสัชวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล
ด้วยอายุขัยของประชากรทั่วโลกที่ยาวขึ้น โดยคาดการณ์ว่าจะมีประชากรกว่า 2.1 พันล้านคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปีภายในปี 2050 การทำความเข้าใจถึงการเสื่อมของระบบภูมิคุ้มกันตามอายุจึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ความท้าทายจากการเสื่อมของภูมิคุ้มกันตามอายุ และบทบาทของวัคซีนในการรักษาสุขภาพให้ดีตลอดชีวิตจึงจำเป็น
ระบบภูมิคุ้มกันเป็นเครือข่ายที่ซับซ้อนของอวัยวะ เซลล์ และกระบวนการต่างๆ ที่ทำหน้าที่ป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อและสารแปลกปลอม ระบบนี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนสำคัญคือ:
1. ภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด (Innate Immunity) – ระบบป้องกันแรกของร่างกายที่ไม่จำเพาะเจาะจงและตอบสนองทันที ประกอบด้วยอุปสรรคทางกายภาพและเคมี
2. ภูมิคุ้มกันแบบปรับตัว (Adaptive Immunity) – ระบบป้องกันที่เฉพาะเจาะจงและถูกกระตุ้นเมื่อมีการโจมตีจากเชื้อโรค เป็นระบบที่มีการจดจำและตอบสนองต่อการติดเชื้อที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
การเสื่อมของภูมิคุ้มกันตามอายุ
เมื่ออายุมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันจะเริ่มเสื่อมลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อการติดเชื้อและการพัฒนาภูมิคุ้มกันจากวัคซีนลดลง การเสื่อมนี้เกิดขึ้นทั้งในระบบภูมิคุ้มกันโดยกำเนิดและภูมิคุ้มกันแบบปรับตัว
- เซลล์ T: จำนวนเซลล์ T ที่ไม่เคยสัมผัสเชื้อ (naive T cells) จะลดลง ขณะที่เซลล์ T ที่มีอายุมากจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความสามารถในการจดจำและตอบสนองต่อแอนติเจนใหม่ๆ ลดลง
- เซลล์ B: การผลิตเซลล์ B ใหม่ลดลง แต่มีการสะสมของเซลล์ B ที่มีความจำ (memory B cells) ซึ่งทำให้การตอบสนองต่อแอนติเจนใหม่ไม่ดีเท่าที่ควร
การอักเสบเรื้อรัง (Inflamm-aging)
ภาวะการอักเสบเรื้อรังระดับต่ำที่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุ มีส่วนทำให้เกิดการเสื่อมของระบบภูมิคุ้มกันและการพัฒนาของโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด และโรคมะเร็ง
นวัตกรรมการผลิตวัคซีนสำหรับผู้สูงอายุ
เพื่อช่วยให้ร่างกายมีการตอบสนองต่อวัคซีนได้ดีขึ้น จึงมีการคิดค้นการใช้สารเสริมฤทธิ์ (adjuvant) ในวัคซีน เมื่อนํามาใช้กับวัคซีนจึงเป็นแอนติเจนที่ช่วยให้วัคซีนกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้ดี ทําให้มีการสร้างภูมิคุ้มกันจําเพาะที่มากขึ้น และอยู่ในร่างกายได้นานขึ้น
บทบาทของวัคซีนในการป้องกันโรคในผู้สูงอายุ
แม้ระบบภูมิคุ้มกันจะเสื่อมลงตามอายุ แต่วัคซีนยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันโรค ปัจจุบันในไทยมีวัคซีนสำหรับผู้สูงอายุที่มีส่วนผสมของระบบเสริมฤทธิ์ (adjuvant vaccine) ได้แก่
1. วัคซีนป้องกันงูสวัด (Herpes Zoster) ชนิด Recombinant Zoster Vaccine (RZV) ที่มีส่วนผสมของระบบเสริมฤทธิ์ AS01B
2. วัคซีน RSV ชนิดAdjuvanted RSVPreF3 Vaccine มีส่วนผสมของระบบเสริมฤทธิ์ AS01E
ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มการตอบสนองของภูมิคุ้มกันทั้งเซลล์ T และการสร้างแอนติบอดี วัคซีนแบบที่มีส่วนผสมของระบบเสริมฤทธิ์นี้แสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคในผู้สูงอายุ
การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน
วัคซีนที่มีการเสริมฤทธิ์ด้วย AS01 ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันทั้งในด้านของเซลล์ T และแอนติบอดี โดยการศึกษาชี้ให้เห็นว่าวัคซีนชนิดนี้สามารถสร้างการตอบสนองที่แข็งแกร่งและยาวนาน ช่วยป้องกันการติดเชื้อในระยะยาว แม้ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอจากโรคหรือได้รับยากดภูมิคุ้มกันอื่นๆ เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคเบาหวาน
วัคซีนงูสวัด ชนิด Recombinant Zoster Vaccine (RZV)
ประสิทธิภาพของวัคซีนงูสวัด (RZV) ในผู้สูงอายุ
จากการศึกษาทางคลินิกที่ครอบคลุมประชากรกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป พบว่าวัคซีนชนิดนี้สามารถป้องกันการเกิดงูสวัดได้ 97.2 % อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีอัตราการป้องกันสูงถึง 91.3% ในผู้ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป การศึกษานี้ยังชี้ให้เห็นว่าวัคซีนสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจากงูสวัด เช่น อาการปวดประสาทหลังเป็นงูสวัด (Postherpetic Neuralgia) ได้ถึง 88.8% ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการป้องกันโรคและบรรเทาความเจ็บปวดในผู้สูงอายุ
การป้องกันการติดเชื้อและลดภาวะแทรกซ้อน
นอกจากนี้ วัคซีนชนิดนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการลดอัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับงูสวัด เช่น การอักเสบของเนื้อเยื่อประสาทและการสูญเสียการมองเห็น นอกจากนี้ยังช่วยลดภาวะแทรกซ้อนในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยมีอัตราการลดความเสี่ยงสูงถึง 77.8% ในกลุ่มที่มีภาวะแทรกซ้อนจากโรค
ตามคำแนะนำของสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทยปี 2566 เกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด (Herpes Zoster Vaccine - HZV) สำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ วัคซีนนี้มีความสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส Varicella Zoster ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคงูสวัด โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปหรือผู้อายุ 18 ปีขึ้นไปที่มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ซึ่งมักมีความเสี่ยงต่อโรคนี้มากขึ้น
วัคซีนชนิด Recombinant Zoster Vaccine (RZV: Shingrix) ที่มีส่วนผสมของสารเสริม (Adjuvant) อย่าง AS01B ได้รับการรับรองว่ามีประสิทธิภาพสูงในการกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ทั้งในรูปแบบของเซลล์ T และการผลิตแอนติบอดี นอกจากนี้ยังแสดงประสิทธิภาพในการป้องกันโรคงูสวัดและภาวะแทรกซ้อน เช่น อาการปวดปลายประสาทหลังเป็นงูสวัด (Postherpetic Neuralgia - PHN) ได้ดี แม้ในผู้ป่วยที่มีอายุมากหรือมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
การฉีดวัคซีนงูสวัดจึงเป็นวิธีที่แนะนำโดยแพทย์สำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปเพื่อป้องกันการเกิดโรคงูสวัดและผลกระทบจากโรคที่อาจมีความรุนแรงและต่อเนื่องนาน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน
หากคุณเคยรับวัคซีนป้องกันงูสวัดชนิดอื่นมาก่อน เช่น วัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (Live-attenuated zoster vaccine หรือ Zostavax) และต้องการเปลี่ยนมาฉีดวัคซีนชนิด Recombinant Subunit Zoster Vaccine (Shingrix) ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า แพทย์แนะนำว่าคุณสามารถรับวัคซีน Shingrix ได้เช่นกัน ไม่ว่าคุณจะเคยได้รับวัคซีน Zostavax มาก่อนหรือไม่ก็ตาม เพราะ Shingrix มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคสูงถึง 97.2% ในการป้องกันการเกิดงูสวัด และยังมีประสิทธิภาพในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนอย่างอาการปวดตามแนวเส้นประสาทหลังการติดเชื้อถึง 91.2%
สำหรับผู้ที่เคยได้รับวัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ก่อนหน้านี้ ควรทิ้งระยะเวลาห่างจากการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 2 เดือน ก่อนที่จะรับวัคซีน Shingrix ทั้งสองเข็ม เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ หากคุณเคยเป็นโรคงูสวัดมาก่อน คุณยังสามารถฉีดวัคซีนป้องกันงูสวัดได้หลังจากหายจากโรคอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
วัคซีนอาร์เอสวี (RSV vaccine) ชนิด Adjuvanted RSVPreF3 Vaccine มีส่วนผสมของระบบเสริมฤทธิ์ AS01E
ประสิทธิภาพของวัคซีน RSV ชนิด Adjuvanted RSVPreF3 Vaccine ในผู้สูงอายุ
Adjuvanted RSVPreF3 Vaccine (RSV: Arexvy) ใช้สำหรับกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรคทางเดินหายใจส่วนล่าง (Lower Respiratory Tract Disease; LRTD) ที่มีสาเหตุมาจาก Respiratory Syncytial Virus (RSV) ในผู้ใหญ่ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และ ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 50 ถึง 59 ปี ที่มีความเสี่ยงต่อโรคที่เกิดจาก RSV
จากการศึกษาในกลุ่มประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ในฤดูกาลที่ 1 ติดตามเป็นระยะเวลาการศึกษาทั้งสิ้น 6.7 เดือน พบว่าประสิทธิภาพของวัคซีนสำหรับการป้องกัน RSV-LRTD คือ 82.6% ประสิทธิภาพของวัคซีนสำหรับการป้องกัน Severe RSV-LRTD คือ 94.1% และประสิทธิภาพของวัคซีนสำหรับกลุ่มผู้มีโรคประจำตัวอย่างน้อย 1 โรค ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหืด โรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจวายเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง โรคตับเรื้อรัง คือ 94.6%
และจากการติดตามประสิทธิภาพของวัคซีนในระยะเวลาการศึกษาทั้งสิ้น 17.8 เดือน หรือ 2 ฤดูกาล พบว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนสำหรับการป้องกัน RSV-LRTD คือ 74.5% ประสิทธิภาพของวัคซีนสำหรับการป้องกัน Severe RSV-LRTD คือ 82.7% และประสิทธิภาพของวัคซีนสำหรับกลุ่มผู้มีโรคประจำตัว 1 โรค คือ 74.5%
ปัจจุบันวัคซีน RSV ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความจำเป็นสำหรับการฉีดวัคซีนซ้ำหลังจากเข็มแรก และสำหรับผู้สูงอายุที่เคยติด RSV นั้นสามารถฉีดวัคซีน RSV ได้ เมื่อหายจากโรค RSV
การป้องกันการติดเชื้อและลดภาวะแทรกซ้อน
ประสิทธิภาพของวัคซีนในผู้สูงอายุมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากช่วยลดการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความสามารถในการป้องกันตัวเองของระบบภูมิคุ้มกันที่เสื่อมตามอายุ วัคซีนที่มีการออกแบบด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยเช่น Adjuvant Vaccine AS01 เป็นตัวอย่างหนึ่งของการพัฒนาที่สำคัญในการรักษาสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพ
Photo by: Freepik.com