Eng |
อาจารย์ ดร. ผกาทิพย์ รื่นระเริงศักดิ์ ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
สถานการณ์มะเร็งในประเทศไทย
โรคมะเร็งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับสองของประชากรโลก คิดเป็น 13% จากสาเหตุทั้งหมดของการเสียชีวิตของคนทั่วโลก โดยแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งประมาณ 7,600,000 รายทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยนั้น โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 จนถึงปัจจุบัน โดยมะเร็งที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิต 5 อันดับแรก ในเพศชายได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลําไส้ใหญ่ มะเร็งช่องปากและคอหอย และมะเร็งเม็ดเลือดขาว ตามลำดับ ส่วนในเพศหญิงได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งลําไส้ใหญ่ ตามลำดับ
ภาพจาก : http://www.nanotechetc.com/wp-content/uploads/2017/03/Best-Applications-Of-Nanotechnology-500x200.jpg
ปัจจัยเสี่ยง และการป้องกัน
การป้องกันการเกิดมะเร็งนั้นสามารถทำได้ โดยการลดพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าวข้างต้น และการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก (HPV vaccine) และมะเร็งตับ (Hepatitis B vaccine)
การรักษามะเร็งและปัญหาการดื้อยา
ขั้นตอนในการรักษาโรคมะเร็งในประเทศไทยที่ผ่านมาส่วนใหญ่มักเริ่มจากการตรวจคัดกรอง ตามด้วยการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาระยะของโรคและวางแนวทางในการรักษาได้แก่ การผ่าตัดเพื่อตัดเอาเนื้องอกออกมา (ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นมะเร็งที่เกิดในระยะเริ่มแรก มีจำนวนเนื้องอกน้อย) การให้เคมีบำบัดหรือที่เรียกกันสั้นๆว่าให้คีโม (Chemotherapy) และการฉายแสง (Radiotherapy) ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ได้รับเคมีบำบัดและการฉายแสงนั้น มีรายงานผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจาการใช้ยาเคมีบำบัดและการฉายแสง เช่น ผมร่วง คลื่นใส้ อาเจียน เบื่ออาหาร จนถึงอาการรุนแรงที่อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ทั้งนี้เนื่องจากตัวยาเคมีบำบัดไม่มีความจำเพาะเจาะจง (Non-selective) ต่อเซลล์มะเร็ง ทำให้มีตัวยาบางส่วนไปออกฤทธ์กับเซลล์ปกติด้วยซึ่งทำให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆ ดังกล่าว จากการศึกษาวิจัยทางพันธุศาสตร์ของมะเร็ง (Cancer genetic) ทำให้เราสามารถเข้าใจได้ว่าทำไม ผลการรักษาผู้ป่วยที่มีเพศเดียวกันและเป็นมะเร็งในระยะเดียวกัน มีอายุใกล้เคียงกัน จึงไม่เหมือนกัน รายหนึ่งอาจสามารถหายขาดได้ แต่อีกรายหนึ่งการรักษาแบบเดียวกันอาจไม่ได้ผลเลย เนื่องจากมะเร็งนั้นประกอบไปด้วยเซลล์มะเร็งที่หลากหลาย (Cancer heterogeneity) ประชากรเซลล์มะเร็งส่วนใหญ่อาจมีความไวต่อยาเคมีบำบัด แต่ประชากรเซลล์บางส่วนมีคุณสมบัติที่ทนทานต่อยาเคมีบำบัดได้ โดยสามารถกำจัดยาเคมีบำบัดออกมาจากเซลล์ได้เอง ส่งผลให้เกิดการดื้อยาเคมีบำบัด ดังนั้นการตรวจร่างกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอเพื่อสังเกตความความผิดปกติของร่างกายจะช่วยให้สามารถตรวจและวินิจฉัยโรคมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกที่ยังไม่พบการเปลี่ยนแปลง หรือมีการพัฒนาของเซลล์จนทำให้เกิดภาวะดื้อยา ทำให้มีโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้สูง
นวัตกรรมนาโนเทอรานอสติก (Nanotheranostics)
เทอรานอสติก (Theranostics) เกิดจากการรวมกันของคำภาษาอังกฤษ สองคำคือ Therapeutics (การรักษา) และ Diagnostics (การตรวจวินิจฉัย) ดังนั้น “Theranositcs” หรือ “Theragnostics” เป็นนวัตกรรมการรักษามะเร็งในรูปแบบใหม่ที่สามารถทำการรักษามะเร็งพร้อมกับการตรวจวินิจฉัย ดังนั้นทันทีที่มีการตรวจพบเซลล์มะเร็ง เซลล์มะเร็งที่ถูกตรวจพบจะถูกทำลายด้วยยาเคมีบำบัด หรือ พลังงานความร้อนได้ในทันที การรักษาด้วยวิธีนี้สามารถลดทรัพยากร ระยะเวลา บุคคลากรทางการแพทย์ และขั้นตอนในการรักษา และยังช่วยลดอาการข้างเคียงของการใช้เคมีบำบัดและการฉายแสงได้ จากการศึกษาวิจัยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การนำนาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology) เข้ามาประยุกต์ใช้กับระบบ Theranositcs ทำให้นักวิจัยสามารถออกแบบระบบที่เรียกว่า “Nanotheranositcs” ที่มีความจำเพาะเจาะจงเพิ่มขึ้น (Selective) ต่อเซลล์มะเร็งได้
Nanotheranositcs อาจเป็นแนวความคิดที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต และเพิ่มความหวังให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็ง แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนานวัตกรรมนี้ยังคงต้องการข้อมูลความปลอดภัยของการเลือกใช้อนุภาคนาโนแต่ละชนิดในระยะยาว ข้อมูลของการเกิดการเปลี่ยนแปลงของ Nanotheranositcs ระหว่างการรักษาและหลังจากการรักษา และข้อมูลการย่อยสลาย หรือการกำจัด nanotheranositcs ภายหลังการรักษา รวมถึงข้อมูลจากการทดลองใช้ทางคลินิกเพื่อที่จะได้สามารถกำหนดขอบเขตของการใช้งานในมะเร็งแต่ละชนิดได้อย่างปลอดภัยและถูกต้องเหมาะสม ในปัจจุบันมี Nanotheranositcs ที่อยู่ในขั้นตอนการทดสอบทางคลินิกในระยะสุดท้าย (Clinical trial phase) และในบางประเทศมีการอนุมัติให้ใช้ทางคลินิกเพื่อช่วยเพิ่มความละเอียดและความคมชัดของภาพถ่ายซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการวินิจฉัยได้เป็นอย่างดี
นาโนเทอรานอสติกกับการให้ยาเฉพาะบุคคล (Nanotheranostics for personalised medicine)
การออกแบบยาที่ผ่านมานั้นใช้แนวความคิดแบบ “One fits all” หรือ “ยาเม็ดเดียวรักษาได้ทุกคน” ซึ่งสามารถใช้ได้ดีกับการรักษาอาการที่ไม่ซับซ้อน แต่ไม่สามารถใช้อธิบายการรักษาโรคมะเร็งได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลายของเซลล์มะเร็งในผู้ป่วยแต่ละรายนั้นมีความแตกต่างกัน ความแตกต่างนี้มีอิทธิพลอย่างมากจนทำให้การรักษาด้วยยาชนิดเดียวกันไม่สามารถรักษาผู้ป่วยทุกคนให้ได้ผลลัพธ์เดียวกันหรือใกล้เคียงกันได้อีกต่อไป จึงมีแนวความคิดของการรักษาผู้ป่วยเฉพาะรายโดยคำนึงถึงอาการ ความผิดปกติ และสภาวะของผู้ป่วยแต่ละคนเป็นหลัก หรือ “Personalised medicine” โดยเริ่มจากการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง การที่นักวิจัยสามารถปรับเปลี่ยนองค์ประกอบทางเคมี และทางชีวะโมเลกุลของระบบ Nanothernostics เพื่อให้เกิดการนำส่งยาไปที่เซลล์มะเร็งที่เป็นเป้าหมายได้นั้น นับว่าเป็นคุณลักษณะที่ดีและเหมาะสมกับแนวคิด Personalised medicine เป็นอย่างมาก จึงมีการพัฒนา Nanotheranostics ขึ้นเพื่อเป็นระบบต้นแบบในการรักษามะเร็ง ปัจจุบันมีความสนใจในการวิจัยและพัฒนา Nanotheranostics เพื่อประยุกต์ใช้กับมะเร็งแต่ละชนิด เนื่องจาก Nanothranostics สามารถผนวกขั้นตอนการวินิจฉัยและการรักษาเข้าด้วยกันในครั้งเดียวตามที่กล่าวไปแล้ว ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาในการรักษามะเร็งได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ Nanotheranostics ยังสามารถใช้ในการศึกษาเภสัชจลนศาสตร์ได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับยา เพราะอาศัยเทคนิคการถ่ายภาพตามเวลาจริงหลังจากให้ยา การใช้ Nanocarriers ที่มีคุณสมบัติเป็น Image contrast agents ได้ด้วยนั้นจะทำให้สามารถถ่ายภาพด้วยเครื่องมือสองชนิดในเวลาเดียวกันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการวินิจฉัยโรคได้ เมื่อประมวลผลการตรวจองค์รวมจะทำให้ได้ผลลัพธ์ของการรักษาที่รวดเร็วและแม่นยำ รวมถึงยังสามารถให้ข้อมูลของการกระจายตัวของยาในเนื้องอก และประเมินประสิทธิภาพของตัวยาสำคัญที่ผู้ป่วยได้รับอย่างรวดเร็วอีกด้วย
ระบบ Nanotheranostics อาจจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ดีในทางคลินิกสำหรับการวินิจฉัยความผิดปกติของผู้ป่วยมะเร็งระยะเริ่มต้นและทำการรักษาได้ทันท่วงที รวมถึงสามารถประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์การตอบสนองของยาในผู้ป่วยแต่ละกลุ่มได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถคัดกรองกลุ่มผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อยาแต่ละชนิด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้ และหากนำระบบนี้มาประยุกต์ใช้กับโรคชนิดอื่นๆที่มีความซับซ้อน เช่น เบาหวาน ความผิดปกติในระบบภูมิคุ้มกัน และความผิดปกติในระบบหัวใจและหลอดเลือด อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการวินิจฉัยและการรักษาได้ดียิ่งขึ้น