ปัจจุบันคนนิยมเลี้ยงสัตว์กันมากขึ้น โดยเฉพาะสุนัขและแมว รวมถึงมีการเปิดคาเฟ่สุนัขและแมวกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งการใกล้ชิดกับสัตว์เหล่านี้อาจทำให้โรคบางโรคติดต่อมาสู่คนได้ โรคหนึ่งที่สามารถพบได้บ่อย คือ “โรคผิวหนังจากเชื้อรา” หรือที่คนนิยมเรียกกันว่า “เชื้อราแมว” ซึ่งแท้จริงแล้วไม่เพียงแต่เกิดขึ้นกับแมวเท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดขึ้นกับสัตว์ชนิดอื่น ๆ และยังสามารถติดต่อสู่คนได้ โดยเชื้อราที่สามารถก่อโรคมีหลายชนิด แต่ที่พบบ่อยในสุนัขและแมว ได้แก่ Microsporum canis (เรียกสั้น ๆ ว่า M. canis ซึ่งเป็นเชื้อที่พบบ่อยที่สุด), Nannizzia gypsea และ Trichophyton [1]
ข้อมูลในปี 2005-2010 พบว่ามีประชากรโลกติดเชื้อราที่ผิวหนัง 20-25% โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคเขตร้อนและร้อนชื้น[2] สำหรับในประเทศไทย คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการศึกษาอุบัติการณ์การติดเชื้อ M. canis ในแมว พบว่ามีอุบัติการณ์การติดเชื้อ 20.29% แบ่งเป็นกลุ่มที่พบอาการทางผิวหนังร่วมด้วย 13.04% และกลุ่มที่ไม่พบอาการทางผิวหนัง 7.25%[1] เชื้อ M. canis สามารถติดต่อจากสัตว์สู่คนได้ทั้งจากการสัมผัสสัตว์ที่ติดเชื้อโดยตรงหรือสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้ออยู่ เช่น เฟอร์นิเจอร์ ผ้าปูที่นอนหรือของใช้ต่าง ๆ ดังนั้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อควรทำความสะอาดสัตว์เลี้ยงและสิ่งของอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เล็มขนสัตว์เลี้ยงไม่ให้ยาวเกินไป[3] หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่ติดเชื้อและล้างมือหลังจากสัมผัสสัตว์เลี้ยงทุกครั้ง
ในคนที่ติดเชื้อจะพบอาการทางผิวหนัง ได้แก่ คัน มีผื่นลักษณะขอบแดง ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งบริเวณศีรษะ ลำตัวหรือเท้า ผมร่วง รวมถึงอาจมีการติดเชื้อราที่เล็บ โดยทั่วไปมักมีอาการไม่รุนแรง แต่ในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ที่รับประทานยากดภูมิ ผู้ป่วยเอชไอวี (HIV) อาจมีอาการที่รุนแรงกว่า เช่น ผมร่วงถาวร เป็นแผลเป็น[4,5] ดังนั้นผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำจึงควรหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดสัตว์ที่ติดเชื้อ ซึ่งผู้เลี้ยงสามารถสังเกตอาการที่พบได้ในสัตว์ เช่น ขนร่วง มีผื่นขอบแดง ซึ่งอาจจะพบได้มากกว่าหนึ่งตำแหน่ง[6]
โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาฆ่าเชื้อรา หากมีผื่นแค่ 1-2 ตำแหน่งสามารถใช้ยาทาภายนอกได้ แต่ในกรณีที่มีผื่นหลายตำแหน่งหรือทั่วร่างกายอาจจำเป็นต้องใช้ทั้งยาทาภายนอกและยารับประทานร่วมกัน ซึ่งการใช้ยาในคนแสดงรายละเอียดดังตารางด้านล่าง
การรักษาในคน[7,8]
ชื่อยาและความแรง |
บริเวณที่มีอาการ |
วิธีใช้/วิธีรับประทาน |
ยาใช้ภายนอก (ทา) |
||
1% Clotrimazole |
ผิวหนังบริเวณต่าง ๆ |
วันละ 2 ครั้ง 4-6 สัปดาห์ |
1% Econazole |
ผิวหนังบริเวณต่าง ๆ |
วันละ 1-2 ครั้ง 4-6 สัปดาห์ |
2% Miconazole |
ผิวหนังบริเวณต่าง ๆ |
วันละ 2 ครั้ง 4-6 สัปดาห์ |
2% Sertaconazole |
ผิวหนังบริเวณต่าง ๆ |
วันละ 2 ครั้ง 4 สัปดาห์ |
1% Terbinafine |
ศีรษะหรือจุดอับชื้น |
วันละ 2 ครั้ง 2 สัปดาห์ |
มือหรือเท้า |
วันละ 2 ครั้ง 4-6 สัปดาห์ |
|
ยารับประทาน |
||
Terbinafine |
ศีรษะหรือจุดอับชื้น |
250 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง 2-3 สัปดาห์ |
เท้า |
250 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง 2 สัปดาห์ |
|
ง่ามนิ้วเท้า |
250 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง 1 สัปดาห์ |
|
Itraconazole |
ศีรษะหรือจุดอับชื้น |
200 มิลลิกรัมต่อวัน 1-2 สัปดาห์ |
เท้า |
100-200 มิลลิกรัมต่อวัน 2-4 สัปดาห์ |
|
Fluconazole |
ศีรษะหรือจุดอับชื้น |
150-300 มิลลิกรัมต่อสัปดาห์ 3-4 สัปดาห์ |
เท้า |
150 มิลลิกรัมต่อสัปดาห์ 4 สัปดาห์ |
|
Griseofulvin |
ศีรษะหรือจุดอับชื้น |
Micro size 500 มิลลิกรัมต่อวัน 2-4 สัปดาห์ หรือ ultra-micro size 300-375 มิลลิกรัมต่อวัน 2-4 สัปดาห์ |
เท้า |
Micro size 750-1000 มิลลิกรัมต่อวัน 4-8 สัปดาห์ หรือ ultra-micro size 660-750 มิลลิกรัมต่อวัน 2-4 สัปดาห์ |
ทั้งนี้นอกจากจะต้องรักษาในคนแล้ว การรักษาสัตว์เลี้ยงก็มีความจำเป็นด้วยเช่นกัน โดยยาที่ใช้รักษาสัตว์เลี้ยง มีดังนี้
การรักษาในสัตว์[3,6,9,10]
ชื่อยาและความแรง |
ขนาดยา |
วิธีใช้/วิธีรับประทาน |
ยาใช้ภายนอก (ทา) |
||
0.2% Enilconazole shampoo |
อาบสัปดาห์ละ 2 ครั้ง |
|
2% Miconazole/2% chlorhexidine shampoo |
||
ยารับประทาน |
||
Itraconazole |
5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักในหน่วยกิโลกรัมต่อวัน |
ใช้ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ เว้น 1 สัปดาห์ โดยใช้ระยะเวลาการรักษา 6 สัปดาห์ |
Terbinafine |
30-40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักในหน่วยกิโลกรัม |
วันละ 1 ครั้ง 3 สัปดาห์ |
Ketoconazole |
2.5-5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักในหน่วยกิโลกรัม |
วันละ 2 ครั้ง 4-8 สัปดาห์ |
Griseofulvin |
25-50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักในหน่วยกิโลกรัม |
ทุก 12-24 ชั่วโมง 4-6 สัปดาห์ |
โรคผิวหนังจากเชื้อราเมื่อรักษาหายแล้ว สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ ดังนั้นการแก้ไขที่สาเหตุจึงมีความสำคัญ ผู้ที่เลี้ยงสัตว์จึงควรรักษาความสะอาดสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราที่จะติดต่อมาสู่คนได้ ทั้งนี้เพื่อให้การรักษาด้วยยาเป็นไปอย่างเหมาะสมควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา
เอกสารอ้างอิง