นอกจากการใช้ยาเม็ดฮอร์โมนคุมกำเนิด (oral contraceptive pills) ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันมานาน ยังมียาคุมกําเนิดรูปแบบอื่นที่มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดเช่นกัน บทความนี้จึงได้รวบรวมข้อควรรู้สำหรับการใช้ยาคุมกำเนิดทางเลือกนอกจากการรับประทาน ได้แก่ ชนิดแผ่นแปะ (patch) ชนิดฝัง (implant) และชนิดฉีด (injection) รวมทั้งห่วงคุมกําเนิด (intrauterine device; IUD)
เป็นยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมระหว่างเอสโตรเจน (estrogens) กับโพรเจสติน (progestins) ที่ไม่ต้องรับประทานยาทุกวัน เพียงแปะแผ่นยาคุมกำเนิด 1 แผ่นต่อสัปดาห์ แผ่นแปะจะปลดปล่อยฮอร์โมนออกมาในอัตราคงที่เป็นระยะเวลา 7 วัน1
แผ่นแปะคุมกำเนิดที่มีใช้ในประเทศไทย ได้แก่ Evra® มีตัวยาสำคัญคือ norelgestromin 6 มิลลิกรัม และ ethinylestradiol 0.6 มิลลิกรัม2 มีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า 3 ชั้น ชั้นนอกเป็น polyester ที่กันน้ำได้ ชั้นกลางเป็นฮอร์โมนและกาว และชั้นในเป็น polyethylene ซึ่งจะต้องลอกออกก่อนที่จะติดกับผิวหนัง ใช้แปะสัปดาห์ละ 1 แผ่นติดต่อกัน 3 สัปดาห์ (รวมใช้ 3 แผ่น) แล้วเว้น 1 สัปดาห์ รอให้ประจำเดือนมาจึงค่อยเริ่มแปะแผ่นใหม่1 เริ่มใช้ยาแผ่นแรกภายใน 5 วันนับจากวันแรกของการมีประจำเดือนโดยไม่จำเป็นต้องใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วม (หากเริ่มแปะแผ่นแรกหลังจาก 5 วันแรกของการมีประจำเดือน ควรเว้นการมีเพศสัมพันธ์หรือใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วยเป็นเวลา 7 วัน)3 ตำแหน่งที่แนะนำให้แปะแผ่นยาคุมกำเนิด ได้แก่ ต้นแขนด้านนอก สะโพก หน้าท้อง ลำตัวส่วนบนยกเว้นเต้านม และทำการเปลี่ยนตำแหน่งทุกครั้งที่เปลี่ยนแผ่นยา นอกจากนี้ไม่ควรใช้เครื่องสำอางหรือครีมทาผิวบริเวณตำแหน่งที่จะแปะแผ่นยาเพราะอาจทำให้แผ่นยาหลุดลอกและส่งผลต่อประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดได้4
เป็นยาคุมกําเนิดที่ประกอบไปด้วยฮอร์โมนโพรเจสตินที่ออกฤทธิ์นาน มีประโยชน์ในกลุ่มคนที่ต้องหลีกเลี่ยงหรือไม่สามารถใช้ฮอร์โมนกลุ่มเอสโตรเจนได้ เช่น สตรีให้นมบุตร สตรีที่มีโรคหลอดเลือดอุดตัน เป็นต้น ยาคุมกําเนิดชนิดฝังจะมีตัวยาบรรจุอยู่ในหลอดยา เมื่อฝังหลอดยาเข้าใต้ผิวหนังจะปลดปล่อยตัวยาอย่างช้า ๆ ในอัตราคงที่ ทำให้ยาคุมกำเนิดชนิดนี้มีระยะเวลาออกฤทธิ์นานและเหมาะสําหรับผู้ที่ต้องการคุมกําเนิดระยะยาว เมื่อถอดยาคุมกําเนิดชนิดฝังออก จะสามารถกลับเข้าสู่ภาวะเจริญพันธุ์ได้ทันที1
โดยทั่วไปแนะนำให้เริ่มใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฝังภายใน 7 วันแรกของการมีประจำเดือน และไม่จำเป็นต้องใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วย หากเริ่มใช้ยาคุมกำเนิดหลังจาก 7 วันแรกของการมีประจำเดือน ควรเว้นการมีเพศสัมพันธ์หรือใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วยเป็นเวลา 7 วัน3 เมื่อถึงกำหนดที่ต้องถอดยาฝังคุมกำเนิดออก สามารถฝังยาหลอดใหม่ต่อเนื่องได้ทันที ระยะเวลาในการออกฤทธิ์คุมกำเนิดขึ้นอยู่กับชนิดและยี่ห้อของยา1 โดยยาคุมกำเนิดชนิดฝังที่มีใช้ในไทย ได้แก่ Jadelle® ซึ่งเป็นยาคุมกำเนิดชนิดฝังแบบ 2 แท่ง มีตัวยาสำคัญคือ levonorgestrel 75 มิลลิกรัมต่อแท่ง ใช้ป้องกันการตั้งครรภ์ได้นาน 5 ปี และ Implanon NXT® ซึ่งยาคุมกำเนิดชนิดฝังแบบ 1 แท่ง มีตัวยาสำคัญคือ etonogestrel 68 มิลลิกรัม ใช้ป้องกันการตั้งครรภ์ได้นาน 3 ปี2,5
ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดมีทั้งที่เป็นแบบฮอร์โมนรวม (เอสโตรเจนกับโพรเจสติน) ซึ่งคุมกำเนิดได้นาน 1 เดือน และแบบฮอร์โมนเดี่ยวที่มีเฉพาะฮอร์โมนกลุ่มโพรเจสติน ซึ่งคุมกำเนิดได้นาน 2-3 เดือน6
ข้อแนะนำในการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด คือ ควรฉีดเข็มแรกภายใน 7 วันแรกของการมีประจำเดือน โดยไม่จำเป็นต้องใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วม หากเริ่มฉีดยาคุมกำเนิดหลังจาก 7 วันแรกของการมีประจำเดือน ควรเว้นการมีเพศสัมพันธ์หรือใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วยเป็นเวลา 7 วัน3 กรณีของยาฉีดชนิดฮอร์โมนรวม เช่น Cyclofem® และ Depo monat® จะต้องฉีดซ้ำทุก 1 เดือน หากไม่สะดวกฉีดในวันเดิมสามารถฉีดก่อนหรือหลังกำหนดได้ 7 วัน กรณียาฉีดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวที่มีส่วนประกอบของ medroxyprogesterone acetate (DMPA) เช่น Depo-pro® และ Medrox depo® ต้องฉีดซ้ำทุก 3 เดือน หากไม่สะดวกฉีดในวันเดิมสามารถฉีดก่อนกำหนดได้ 2 สัปดาห์หรือหลังกำหนดได้ 4 สัปดาห์ ส่วนชนิดที่มีส่วนประกอบของ norethisterone enanthate (NET-EN) เช่น Noristin® ต้องฉีดซ้ำทุก 2 เดือน กรณีที่เลยระยะเวลาที่กำหนด ควรเว้นการมีเพศสัมพันธ์หรือใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วยอีก 7 วัน2,7
ห่วงคุมกําเนิดหรือห่วงอนามัยเป็นการคุมกําเนิดชั่วคราวในระยะยาว ปัจจุบันมี 2 ชนิด คือ ห่วงคุมกําเนิดชนิดหุ้มทองแดงและห่วงคุมกําเนิดชนิดปลดปล่อยโพรเจสติน8
สําหรับการใช้คุมกําเนิด ให้เริ่มใช้ห่วงคุมกําเนิดภายใน 7 วันแรกของการมีประจําเดือนและไม่จําเป็นต้องใช้การคุมกําเนิดวิธีอื่นร่วมด้วย หากเริ่มใช้ห่วงคุมกําเนิดหลังจาก 7 วันแรกของการมีประจําเดือน ควรเว้นการมีเพศสัมพันธ์หรือใช้การคุมกําเนิดวิธีอื่นร่วมด้วยเป็นเวลา 7 วัน3 ในช่วงแรกที่เริ่มใช้ห่วงคุมกําเนิดอาจมีอาการปวดท้องน้อยและเลือดออกกระปริบกระปรอยได้ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 7 วันหลังใส่ห่วง และตรวจเช็คการใส่ห่วงคุมกําเนิดในช่วง 2-3 เดือนแรกหลังใส่ห่วง จากนั้นจึงตรวจเช็คปีละครั้ง ควรตรวจสายห่วงเองที่บ้านทุกเดือนภายหลังจากประจําเดือนหมดโดยใช้มือข้างที่ถนัด ล้างให้สะอาดแล้วคลําหาสายห่วงในช่องคลอด ควรพบแพทย์และงดการมีเพศสัมพันธ์หากสายห่วงหาย สั้น ยาว หรือเลื่อนจากตําแหน่งเดิม โดยห่วงคุมกําเนิดแต่ละชนิดมีระยะเวลาการใช้งานที่แตกต่างกัน8 ซึ่งห่วงคุมกําเนิดชนิดที่หลั่งสารโพรเจสตินที่มีใช้ในไทย ได้แก่ Skyla® ซึ่งประกอบไปด้วยตัวยาสำคัญ คือ levonorgestrel 13.5 มิลลิกรัม มีอายุการใช้งาน 3 ปี9 และ Mirena® ซึ่งประกอบไปด้วยตัวยาสำคัญ คือ levonorgestrel 52 มิลลิกรัม มีอายุการใช้งาน 5 ปี10
จากการศึกษาประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดจากร้อยละของการตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจภายในปีแรกของการคุมกำเนิด พบว่ายาคุมกำเนิดชนิดฝังมีประสิทธิภาพสูงสุด คือร้อยละ 0.05 รองลงมาคือห่วงคุมกำเนิด ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด ยาเม็ดคุมกำเนิด และยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะร้อยละ 0.2, 4.0, 8.0 และ 9.0 ตามลำดับ11 ทั้งนี้ยาคุมกำเนิดชนิดฝังเป็นรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติเช่นเดียวกับยาเม็ดคุมกำเนิดทำให้สามารถเบิกค่ายาได้หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด ยาคุมกำเนิดชนิดฝังและยาคุมกำเนิดชนิดฉีดมีผลลดปริมาณของประจำเดือนหรือทำให้ไม่มีประจำเดือนหลังจากใช้ไประยะหนึ่ง ทำให้สามารถแก้ปัญหาการปวดหรือการเสียเลือดจากประจำเดือนได้ ในด้านความถี่ของการใช้ยาคุมกำเนิดพบว่าห่วงคุมกำเนิดและยาคุมกำเนิดชนิดฝังมีอายุใช้งานนานที่สุด คือ 3-5 ปี รองลงมาคือยาคุมกำเนิดชนิดฉีดมีอายุใช้งาน 2-3 เดือน ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะมีอายุใช้งาน 1 สัปดาห์ และยาเม็ดคุมกำเนิดต้องรับประทานต่อเนื่องทุกวัน ข้อเสียของยาคุมกำเนิดแต่ละรูปแบบที่สำคัญ ได้แก่ ยาเม็ดคุมกำเนิดต้องรับประทานต่อเนื่องทุกวันเพื่อทำให้มีประสิทธิภาพสำหรับคุมกำเนิด ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะมีราคาสูงและต้องระวังการหลุดลอกของแผ่นยา ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด ส่วนห่วงคุมกำเนิด ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง และยาคุมกำเนิดชนิดฉีดไม่สามารถเริ่มหรือหยุดใช้ยาได้ด้วยตัวเอง และอาจมีอาการปวด อักเสบ บวมบริเวณที่ทำการใส่ ฝังหรือฉีดในช่วงแรกของการใช้ยา นอกจากนี้การใช้ห่วงคุมกำเนิดอาจทำให้มีตกขาวเพิ่มขึ้นและมีเลือดออกกะปริดกะปรอยในช่วงแรกของการใช้ยา และการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดอาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น โดยรายละเอียดทั้งหมดอาจสรุปได้ในตารางที่ 1
ตารางที่ 1 เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของยาคุมกำเนิดแต่ละรูปแบบ[1,2,7,8,10,12]
รูปแบบ |
ข้อดี |
ข้อเสีย |
เม็ด |
- เป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ - ใช้ง่าย เป็นที่นิยม - ประจำเดือนมาตรงตามปกติ ไม่กระทบต่อรอบเดือน |
- ต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอเพื่อให้มีประสิทธิภาพสำหรับคุมกำเนิด |
แผ่นแปะ |
- ใช้สัปดาห์ละ 1 แผ่น สะดวกในการใช้มากกว่ายาเม็ดคุมกำเนิด - ประจำเดือนมาตรงตามปกติ ไม่กระทบต่อรอบเดือน |
- ราคาค่อนข้างสูง - อาจมีการหลุดของแผ่นยา |
ฝัง |
- เป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ - เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดระยะยาว เนื่องจากคุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี - ปริมาณของประจำเดือนลดลงหรือไม่มีประจำเดือนหลังจากใช้ แก้ปัญหาการปวดหรือการเสียเลือดจากประจำเดือน |
- ไม่สามารถเริ่มหรือหยุดใช้ยาได้ด้วยตัวเอง - มีอาการปวดบริเวณที่ฝังยาในช่วงแรกของการใช้ยา |
ฉีด |
- คุมกำเนิดได้นาน 2-3 เดือน สะดวกในการใช้มากกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดและยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะ - ปริมาณของประจำเดือนลดลงหรือไม่มีประจำเดือนหลังจากใช้ไประยะหนึ่ง แก้ปัญหาการปวดหรือการเสียเลือดจากประจำเดือน |
- ไม่สามารถเริ่มหรือหยุดใช้ยาได้ด้วยตัวเอง - น้ำหนักตัวอาจเพิ่มขึ้น - มีอาการปวดบริเวณที่ฉีดยาในช่วงแรกของการใช้ยา |
ห่วง |
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดระยะยาว เนื่องจากคุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี - ประจำเดือนมาตรงตามปกติ ไม่กระทบต่อรอบเดือนและการหลั่งน้ำนม สามารถใช้ในหญิงให้นมบุตรได้ |
- ไม่สามารถเริ่มหรือหยุดใช้ยาได้ด้วยตัวเอง - อาจมีตกขาวเพิ่มขึ้น - เลือดออกกะปริดกะปรอยหรือปวดเกร็งบริเวณท้องน้อยในช่วงแรกของการใช้ยา |
เช่นเดียวกับยาเม็ดคุมกำเนิด ห้ามใช้การคุมกำเนิดที่มีตัวยาฮอร์โมนในประชากรบางกลุ่ม เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมหรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม ผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยที่มีประวัติลิ่มเลือดอุดตัน เป็นต้น13