หน่วยคลังข้อมูลยา
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ใช้ยาหยอดตาอย่างไร เมื่อมีอาการตาแดง?

โดย นศภ.บุญญิสา วลีวงศ์โสธร ภายใต้คำแนะนำของ ผศ.ดร.ภก. สุรศักดิ์ วิชัยโย เผยแพร่ตั้งแต่ 8 ตุลาคม พ.ศ.2568 -- 20 views
 

ตาแดง (pink eye, red eye) เป็นอาการที่พบได้บ่อย และหลายคนมักไปปรึกษาเภสัชกรที่ร้านยาเพื่อขอซื้อยาหยอดตา แต่ทราบหรือไม่ว่าอาการตาแดงเกิดได้จากหลายสาเหตุ และมียาหยอดตาหลายชนิดให้เลือกใช้ บทความนี้ขอกล่าวถึงอาการตาแดงจากสาเหตุต่าง ๆ และยาหยอดตาสำหรับรักษาอาการนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจเบื้องต้นสำหรับวิธีปฏิบัติในการใช้ยาหยอดตาอย่างเหมาะสม

ตาแดงเกิดจากอะไร?

แม้ว่า “ตาแดง” จะเป็นคำที่เข้าใจได้ง่ายสำหรับประชาชนทั่วไป แต่จริง ๆ แล้วในทางการแพทย์เรียกโรคนี้ว่า “เยื่อบุตาขาวอักเสบ (conjunctivitis)” เนื่องจากมีการอักเสบและบวมแดงที่เนื้อเยื่อบุตาขาว ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ การติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และการแพ้ นอกจากนี้อาจเกิดจากการระคายเคือง เช่น จากสารเคมี การใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน หรือการมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา[1] ส่วนอาการอื่น ๆ ที่มักพบร่วมด้วย ได้แก่ เจ็บหรือระคายเคืองตา คันตา และมีน้ำตาหรือขี้ตา[2] ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถบ่งชี้ถึงสาเหตุเบื้องต้นของอาการตาแดงได้ (ตารางที่ 1)

ตารางที่ 1 อาการตาแดงจากสาเหตุต่าง ๆ[3-6]

สาเหตุ

ติดเชื้อไวรัส

ติดเชื้อแบคทีเรีย

การแพ้

ระคายเคือง

อาการตาแดง

มี

มี

มี

มี

อาการคัน

ไม่ค่อยพบ

ไม่ค่อยพบ

มี

ไม่ค่อยพบ

ตาข้างที่เป็น

เริ่มมีอาการข้างเดียว และสามารถแพร่ไปยังอีกข้างได้

มักพบข้างเดียว

มักเป็นทั้ง 2 ข้าง

พบได้ทั้งข้างเดียวและ 2 ข้าง

ลักษณะขี้ตา

ใสคล้ายน้ำตา

หนองสีเหลือง-เขียว เหนียว

ไม่ค่อยพบขี้ตา

ไม่ค่อยพบขี้ตา

ปัจจัยเสี่ยง

เป็นหวัดหรือติดเชื้อไวรัสที่ทางเดินหายใจส่วนบน เช่น คอหอยอักเสบจากไวรัส

สุขอนามัยที่ไม่ดี

สัมผัสสารก่อภูมิแพ้

สิ่งแปลกปลอมเข้าตา

ยาหยอดตาสำหรับตาแดงจากแต่ละสาเหตุ

วิธีปฏิบัติเบื้องต้นสำหรับผู้ที่มีอาการตาแดง ได้แก่ การประคบเย็น (cold compresses) ซึ่งช่วยบรรเทาอาการอักเสบและคันได้ อีกทั้งควรหยุดใส่คอนแทคเลนส์จนกว่าอาการจะดีขึ้น[4-7] ส่วนการใช้ยาหยอดตา หรือยาป้ายตา (มีลักษณะหนืดมากกว่า) มักขึ้นกับสาเหตุของตาแดง ดังนี้

ตาแดงจากเชื้อไวรัส

ส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองภายใน 7-14 วัน โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา และไม่มีผลเสียระยะยาว อย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการนาน 2-3 สัปดาห์ขึ้นไป[7] ปัจจุบันยังไม่มียาหยอดตาสำหรับฆ่าเชื้อไวรัสโดยตรง จึงให้การรักษาตามอาการ ได้แก่ ยาหยอดตาที่มียาแก้แพ้ผสมกับยาหดหลอดเลือด (ช่วยลดอาการตาแดง) และอาจใช้น้ำตาเทียมร่วมด้วยเพื่อช่วยลดการระคายเคืองตา (ตารางที่ 2) ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาหยอดตาที่มีส่วนประกอบของสเตียรอยด์ (steroid eye drops) เนื่องจากส่งผลให้มีการกำจัดเชื้อไวรัสอะดีโน (adenovirus) ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการตาแดงได้ช้าลง อย่างไรก็ตามในกรณีที่มีการอักเสบของดวงตาอย่างรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาใช้สเตียรอยด์ชนิดหยอดตาช่วยลดการอักเสบได้ แต่มักใช้เป็นระยะเวลาสั้น (ไม่เกิน 2 สัปดาห์) เนื่องจากการใช้ยาหยอดตาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน เสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง เช่น เพิ่มความดันภายในลูกตา รวมถึงการเกิดโรคต้อหินและต้อกระจก[8]

ตาแดงจากเชื้อแบคทีเรีย

หากอาการไม่รุนแรงอาจหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์[7] แต่การใช้ยาหยอดตาที่มียาปฏิชีวนะ (ตารางที่ 2) สามารถลดระยะเวลาของการเจ็บป่วยได้ โดยมักเป็นยาที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิดที่เป็นสาเหตุของตาแดง นอกจากนี้อาจใช้ยาหยอดตาที่มียาแก้แพ้ผสมกับยาหดหลอดเลือดร่วมด้วยเพื่อบรรเทาอาการตาแดง อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงยาที่มีส่วนประกอบของสเตียรอยด์ เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้น[4]

ตาแดงจากการแพ้

วิธีการรักษาที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ส่วนการใช้ยาหยอดตามีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น ได้แก่ การให้ยาหยอดตาที่มียาแก้แพ้ผสมกับยาหดหลอดเลือด (ตารางที่ 2) ร่วมกับการประคบเย็น นอกจากนี้ยากลุ่ม mast cell stabilizers ช่วยให้ไม่เกิดการปล่อยฮีสตามีน (สารก่ออาการแพ้) ออกมา จึงจัดเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ส่วนยาที่มีส่วนประกอบของสเตียรอยด์สามารถลดอาการแพ้ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามไม่ควรใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน เนื่องจากเสี่ยงต่อผลข้างเคียงต่าง ๆ ดังที่กล่าวมา ทั้งนี้การใช้น้ำตาเทียมร่วมด้วยอาจช่วยลดการระคายเคืองตาได้[4-7]

ตาแดงจากการระคายเคือง

การรักษามุ่งเน้นที่บรรเทาอาการที่เกิดขึ้น โดยควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือเพื่อขจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากเยื่อบุตา อาการมักดีขึ้นได้เองภายใน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้สามารถใช้น้ำตาเทียมร่วมกับการประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการระคายเคืองตา แสบตา และทำให้ตาชุ่มชื้นมากขึ้น แต่บางกรณีแพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะหยอดตาเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาเพื่อป้องกันการอักเสบที่อาจรุนแรงขึ้นหรือการติดเชื้อแทรกซ้อน[4]

ตารางที่ 2 ประเภทยาหยอดตาที่แนะนำให้ใช้รักษาอาการตาแดงจากแต่ละสาเหตุ[3-7]

ประเภทยาหยอดตา/ยาป้ายตา

ติดเชื้อไวรัส

ติดเชื้อแบคทีเรีย

การแพ้

ระคายเคือง

น้ำตาเทียม

ใช้ได้

ใช้ได้

ใช้ได้

ใช้ได้

ยาปฏิชีวนะ

ไม่แนะนำ

ใช้ได้

ไม่แนะนำ

ใช้ได้

ยาแก้แพ้ผสมยาหดหลอดเลือด

ใช้ได้

ใช้ได้

ใช้ได้

ไม่แนะนำ

ยากลุ่ม mast cell stabilizer

ไม่แนะนำ

ไม่แนะนำ

ใช้ได้

ไม่แนะนำ

สเตียรอยด์

ไม่แนะนำ

ไม่แนะนำ

ใช้ได้

ไม่แนะนำ

วิธีใช้ยาหยอดตาหรือยาป้ายตาอย่างถูกต้อง

หลักการทั่วไปสำหรับการใช้ยาหยอดตาหรือป้ายยา[9] ได้แก่

  1. ล้างมือให้สะอาดและเช็ดมือให้แห้ง
  1. หยอดตาโดยอยู่ในท่านอนหงาย หรือนั่งเงยหน้าขึ้นสำหรับท่านั่ง
  1. ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดดึงเปลือกตาลงจนเห็นกระพุ้งตาด้านล่าง และเหลือบตามองขึ้นบน
  1. ถือขวดยาให้ลอยอยู่เหนือดวงตา ระวังอย่าให้ปลายขวดสัมผัสกับขนตาเพื่อป้องกันการปนเปื้อน
  1. บีบขวดยาเบา ๆ ให้ยาออกมาเพียง 1 หยด (หรือประมาณ 1 เซนติเมตรหากเป็นยาป้ายตา) โดยให้ยาลงในกระพุ้งตาล่าง หากมียาหยอดตาส่วนเกินไหลซึมออกมาจากดวงตาให้ใช้สำลีแห้งหรือผ้าสะอาดมาซับเฉพาะส่วนที่ล้นออกมา
  1. หลับตานิ่งประมาณ 1 นาที ไม่ควรกระพริบตาถี่ ๆ เนื่องจากทำให้ยาถูกระบายออกไปจากผิวตาเร็วเกินไป
  1. ถ้าหยอดตา 2 ชนิดขึ้นไป ควรหยอดตาแต่ละชนิดห่างกันประมาณ 5-10 นาที ถ้ายาอีกชนิดเป็นยาป้ายตา ให้ใช้ยาหยอดตาก่อน และรอประมาณ 10 นาที จึงใช้ยาป้ายตา ส่วนหากเป็นยาป้ายตา 2 ชนิด ให้ป้ายห่างกัน 10 นาที
  1. ห้ามใช้ยาป้ายตาร่วมกับผู้อื่น เนื่องจากเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
  1. ยาอาจทำให้ตาพร่า แสบตา หรือเคืองตาหลังจากใช้ยาได้ ดังนั้นไม่ควรขับรถหรือทำงานที่เสี่ยงต่ออันตราย จนกว่าตาจะมองเห็นได้ชัดเจนตามปกติ
  1. หลังจากเปิดใช้ ยาส่วนใหญ่มีอายุ 1 เดือน

อาการตาแดงแบบไหนควรรีบไปพบแพทย์?

หากมีอาการรุนแรง ได้แก่ ปวดตา การมองเห็นลดลง ไวต่อแสง พบจุดสีขาวขนาดเล็กบนกระจกตา ควรไปพบแพทย์ทันที เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม[5]

บทสรุป

อาการตาแดงเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย การแพ้ และการระคายเคือง ดังนั้นการใช้ยาหยอดตาจะต้องเป็นชนิดที่เหมาะสมกับสาเหตุของอาการ และต้องใช้ยาหยอดตาอย่างถูกวิธีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา อย่างไรก็ตามหากมีอาการตาแดงร่วมกับอาการอื่น เช่น ปวดตา การมองเห็นลดลง แพ้แสง หรือพบจุดสีขาวขนาดเล็กบนกระจกตา ควรรีบไปพบจักษุแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

เอกสารอ้างอิง

  1. Centers for Disease Control and Prevention. Pink eye: Causes and how it spreads [Internet]. 15 April 2024. [cited 2025 Jun 19]. Available from: https://www.cdc.gov/conj unctivitis/causes/index.html#:~:text=Most%20common%20causes%20of%20pink,Ameba%20and%20parasites.
  1. Azari AA, Arabi A. Conjunctivitis: A systematic review. J Ophthalmic Vis Res. 2020; 15(3): 372-95.
  1. Kierstan Boyd. Conjunctivitis: What is pink eye? [Internet]. 11 September 2024. [cited 2025 Jun 19 Jun]. Available from: https://www.aao.org/eye-health/diseases/pink-eye-conjunctivitis.
  1. Azari AA, Barney NP. Conjunctivitis: A systematic review of diagnosis and treatment. JAMA. 2013; 310(16):1721-9.
  1. Wood M. Conjunctivitis: Diagnosis and management. Comm Eye Health. 1999; 12(30):19-20.
  1. Winters S, Frazier W, Winters J. Conjunctivitis: Diagnosis and management. Am Fam Physician. 2024; 110(2):134-44.
  1. Holland EJ, Fingeret M, Mah FS. Use of topical steroids in conjunctivitis: A review of the evidence. Cornea. 2019; 38(8).

  1. สภาเภสัชกรรม, คณะกรรมการสอบความรู้เพื่อขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม. คู่มือทักษะตามเกณฑ์ความรู้ความสามารถทางวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม (สมรรถนะร่วม). พิมพ์ครั้งที่ 1. นนทบุรี: สภาเภสัชกรรม; 2562.

คำค้นที่เกี่ยวข้อง:
ตาแดง เยื่อบุตาขาวอักเสบ ยาหยอดตา
 
คลิปความรู้เรื่องยา

EP.13 Drug-alcohol interactions "ยา + เหล้า = อันตราย"

ดูคลิปทั้งหมด

ข่าวยาล่าสุด
    ดูข่าวยาทั้งหมด


หน่วยคลังข้อมูลยา

447 ถ.ศรีอยุธยา แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
 
ออกแบบและพัฒนาโดย งานเทคโนโลยีสารสนเทศฯ คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล
Copyright © 2013-2020
 
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เราใช้เทคโนโลยีคุกกี้เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างถูกต้อง การเปิดให้ใช้คุณสมบัติทางโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าเว็บไซต์ของเรา การใช้งานเว็บไซต์ต่อถือว่าคุณยอมรับการใช้งานคุกกี้