![]() |
ตาแดง (pink eye, red eye) เป็นอาการที่พบได้บ่อย และหลายคนมักไปปรึกษาเภสัชกรที่ร้านยาเพื่อขอซื้อยาหยอดตา แต่ทราบหรือไม่ว่าอาการตาแดงเกิดได้จากหลายสาเหตุ และมียาหยอดตาหลายชนิดให้เลือกใช้ บทความนี้ขอกล่าวถึงอาการตาแดงจากสาเหตุต่าง ๆ และยาหยอดตาสำหรับรักษาอาการนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจเบื้องต้นสำหรับวิธีปฏิบัติในการใช้ยาหยอดตาอย่างเหมาะสม
แม้ว่า “ตาแดง” จะเป็นคำที่เข้าใจได้ง่ายสำหรับประชาชนทั่วไป แต่จริง ๆ แล้วในทางการแพทย์เรียกโรคนี้ว่า “เยื่อบุตาขาวอักเสบ (conjunctivitis)” เนื่องจากมีการอักเสบและบวมแดงที่เนื้อเยื่อบุตาขาว ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ การติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และการแพ้ นอกจากนี้อาจเกิดจากการระคายเคือง เช่น จากสารเคมี การใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน หรือการมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา[1] ส่วนอาการอื่น ๆ ที่มักพบร่วมด้วย ได้แก่ เจ็บหรือระคายเคืองตา คันตา และมีน้ำตาหรือขี้ตา[2] ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถบ่งชี้ถึงสาเหตุเบื้องต้นของอาการตาแดงได้ (ตารางที่ 1)
ตารางที่ 1 อาการตาแดงจากสาเหตุต่าง ๆ[3-6]
สาเหตุ |
ติดเชื้อไวรัส |
ติดเชื้อแบคทีเรีย |
การแพ้ |
ระคายเคือง |
---|---|---|---|---|
อาการตาแดง |
มี |
มี |
มี |
มี |
อาการคัน |
ไม่ค่อยพบ |
ไม่ค่อยพบ |
มี |
ไม่ค่อยพบ |
ตาข้างที่เป็น |
เริ่มมีอาการข้างเดียว และสามารถแพร่ไปยังอีกข้างได้ |
มักพบข้างเดียว |
มักเป็นทั้ง 2 ข้าง |
พบได้ทั้งข้างเดียวและ 2 ข้าง |
ลักษณะขี้ตา |
ใสคล้ายน้ำตา |
หนองสีเหลือง-เขียว เหนียว |
ไม่ค่อยพบขี้ตา |
ไม่ค่อยพบขี้ตา |
ปัจจัยเสี่ยง |
เป็นหวัดหรือติดเชื้อไวรัสที่ทางเดินหายใจส่วนบน เช่น คอหอยอักเสบจากไวรัส |
สุขอนามัยที่ไม่ดี |
สัมผัสสารก่อภูมิแพ้ |
สิ่งแปลกปลอมเข้าตา |
วิธีปฏิบัติเบื้องต้นสำหรับผู้ที่มีอาการตาแดง ได้แก่ การประคบเย็น (cold compresses) ซึ่งช่วยบรรเทาอาการอักเสบและคันได้ อีกทั้งควรหยุดใส่คอนแทคเลนส์จนกว่าอาการจะดีขึ้น[4-7] ส่วนการใช้ยาหยอดตา หรือยาป้ายตา (มีลักษณะหนืดมากกว่า) มักขึ้นกับสาเหตุของตาแดง ดังนี้
ตาแดงจากเชื้อไวรัส
ส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองภายใน 7-14 วัน โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา และไม่มีผลเสียระยะยาว อย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการนาน 2-3 สัปดาห์ขึ้นไป[7] ปัจจุบันยังไม่มียาหยอดตาสำหรับฆ่าเชื้อไวรัสโดยตรง จึงให้การรักษาตามอาการ ได้แก่ ยาหยอดตาที่มียาแก้แพ้ผสมกับยาหดหลอดเลือด (ช่วยลดอาการตาแดง) และอาจใช้น้ำตาเทียมร่วมด้วยเพื่อช่วยลดการระคายเคืองตา (ตารางที่ 2) ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาหยอดตาที่มีส่วนประกอบของสเตียรอยด์ (steroid eye drops) เนื่องจากส่งผลให้มีการกำจัดเชื้อไวรัสอะดีโน (adenovirus) ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการตาแดงได้ช้าลง อย่างไรก็ตามในกรณีที่มีการอักเสบของดวงตาอย่างรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาใช้สเตียรอยด์ชนิดหยอดตาช่วยลดการอักเสบได้ แต่มักใช้เป็นระยะเวลาสั้น (ไม่เกิน 2 สัปดาห์) เนื่องจากการใช้ยาหยอดตาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน เสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง เช่น เพิ่มความดันภายในลูกตา รวมถึงการเกิดโรคต้อหินและต้อกระจก[8]
หากอาการไม่รุนแรงอาจหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์[7] แต่การใช้ยาหยอดตาที่มียาปฏิชีวนะ (ตารางที่ 2) สามารถลดระยะเวลาของการเจ็บป่วยได้ โดยมักเป็นยาที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิดที่เป็นสาเหตุของตาแดง นอกจากนี้อาจใช้ยาหยอดตาที่มียาแก้แพ้ผสมกับยาหดหลอดเลือดร่วมด้วยเพื่อบรรเทาอาการตาแดง อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงยาที่มีส่วนประกอบของสเตียรอยด์ เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้น[4]
วิธีการรักษาที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ส่วนการใช้ยาหยอดตามีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น ได้แก่ การให้ยาหยอดตาที่มียาแก้แพ้ผสมกับยาหดหลอดเลือด (ตารางที่ 2) ร่วมกับการประคบเย็น นอกจากนี้ยากลุ่ม mast cell stabilizers ช่วยให้ไม่เกิดการปล่อยฮีสตามีน (สารก่ออาการแพ้) ออกมา จึงจัดเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ส่วนยาที่มีส่วนประกอบของสเตียรอยด์สามารถลดอาการแพ้ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามไม่ควรใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน เนื่องจากเสี่ยงต่อผลข้างเคียงต่าง ๆ ดังที่กล่าวมา ทั้งนี้การใช้น้ำตาเทียมร่วมด้วยอาจช่วยลดการระคายเคืองตาได้[4-7]
การรักษามุ่งเน้นที่บรรเทาอาการที่เกิดขึ้น โดยควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือเพื่อขจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากเยื่อบุตา อาการมักดีขึ้นได้เองภายใน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้สามารถใช้น้ำตาเทียมร่วมกับการประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการระคายเคืองตา แสบตา และทำให้ตาชุ่มชื้นมากขึ้น แต่บางกรณีแพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะหยอดตาเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาเพื่อป้องกันการอักเสบที่อาจรุนแรงขึ้นหรือการติดเชื้อแทรกซ้อน[4]
ตารางที่ 2 ประเภทยาหยอดตาที่แนะนำให้ใช้รักษาอาการตาแดงจากแต่ละสาเหตุ[3-7]
ประเภทยาหยอดตา/ยาป้ายตา |
ติดเชื้อไวรัส |
ติดเชื้อแบคทีเรีย |
การแพ้ |
ระคายเคือง |
น้ำตาเทียม |
ใช้ได้ |
ใช้ได้ |
ใช้ได้ |
ใช้ได้ |
ยาปฏิชีวนะ |
ไม่แนะนำ |
ใช้ได้ |
ไม่แนะนำ |
ใช้ได้ |
ยาแก้แพ้ผสมยาหดหลอดเลือด |
ใช้ได้ |
ใช้ได้ |
ใช้ได้ |
ไม่แนะนำ |
ยากลุ่ม mast cell stabilizer |
ไม่แนะนำ |
ไม่แนะนำ |
ใช้ได้ |
ไม่แนะนำ |
สเตียรอยด์ |
ไม่แนะนำ |
ไม่แนะนำ |
ใช้ได้ |
ไม่แนะนำ |
หลักการทั่วไปสำหรับการใช้ยาหยอดตาหรือป้ายยา[9] ได้แก่
หากมีอาการรุนแรง ได้แก่ ปวดตา การมองเห็นลดลง ไวต่อแสง พบจุดสีขาวขนาดเล็กบนกระจกตา ควรไปพบแพทย์ทันที เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม[5]
อาการตาแดงเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย การแพ้ และการระคายเคือง ดังนั้นการใช้ยาหยอดตาจะต้องเป็นชนิดที่เหมาะสมกับสาเหตุของอาการ และต้องใช้ยาหยอดตาอย่างถูกวิธีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา อย่างไรก็ตามหากมีอาการตาแดงร่วมกับอาการอื่น เช่น ปวดตา การมองเห็นลดลง แพ้แสง หรือพบจุดสีขาวขนาดเล็กบนกระจกตา ควรรีบไปพบจักษุแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
![]() |