หน่วยคลังข้อมูลยา
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

แพ้ยา!? รู้ไว้…ก่อนอันตรายถึงชีวิต!?

โดย นศภ.ชินวัตร มุกดาพิพัฒน์กุล ภายใต้คำแนะนำของ ผศ.ดร.ภก.สุรศักดิ์ วิชัยโย เผยแพร่ตั้งแต่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2568 -- 335 views
 

อาการแพ้ยาเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย และมักถูกกล่าวถึงในสื่อต่าง ๆ จนบางครั้งทำให้ผู้ป่วยกังวลเมื่อต้องใช้ยา อย่างไรก็ตามหลายคนยังไม่เข้าใจว่าอาการแพ้ยาเกิดขึ้นเมื่อใด มีลักษณะอย่างไร ยาชนิดใดที่เสี่ยงก่ออาการแพ้ และควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อเกิดอาการ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับอาการแพ้ยา เพื่อเสริมความเข้าใจและความปลอดภัยในการใช้ยา

แพ้ยาคืออะไร?

การแพ้ยาเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเข้าใจผิดว่ายาบางชนิดเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตราย เช่นเดียวกับเชื้อโรค จึงเกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อยานั้นจนทำให้มีอาการผิดปกติในร่างกาย ทั้งนี้การแพ้ยาไม่จำเป็นต้องแสดงอาการในครั้งแรกที่ใช้ยาเสมอไป แต่อาจเกิดขึ้นหลังจากได้รับยานั้นหลายครั้งแล้ว จึงทำให้ผู้ป่วยบางรายเกิดความสงสัยว่าตนเองเคยใช้ยาดังกล่าวมาก่อนโดยไม่มีอาการแพ้ เหตุใดจึงเกิดอาการในครั้งนี้

การแพ้ยาสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มตามระยะเวลาที่เริ่มแสดงอาการ ได้แก่ การแพ้ยาแบบเฉียบพลัน (immediate hypersensitivity) และการแพ้ยาแบบไม่เฉียบพลัน (non-immediate hypersensitivity)

การแพ้ยาแบบเฉียบพลัน มีลักษณะอย่างไร?

การแพ้ยาแบบเฉียบพลันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมักมีอาการภายใน 1-6 ชั่วโมง หลังได้รับยาครั้งสุดท้าย อาการที่พบ ได้แก่ ผื่นลมพิษ อาการบวมบริเวณริมฝีปากและเปลือกตา หน้ามืด ความดันโลหิตต่ำ หายใจมีเสียงหวีด ปวดท้อง และอาจเกิดภาวะช็อค (รูปที่ 1)(1-3)

รูปที่ 1 อาการแพ้ยาแบบเฉียบพลันที่พบบ่อย

การแพ้ยาแบบเฉียบพลันเกิดจากเมื่อได้รับยาที่ทำให้แพ้ (ยาผู้โชคร้าย) เป็นครั้งแรก (รูปที่ 2 ด้านซ้าย) ระบบภูมิคุ้มกันจะเข้าใจผิดว่ายากำลังก่อให้เกิดอันตราย จึงสร้างแอนติบอดีชนิด IgE ขึ้นมาเพื่อไปยึดเกาะกับเซลล์มาสต์ (mast cell) ต่อมาเมื่อร่างกายได้รับยาชนิดเดิมอีกครั้ง (รูปที่ 2 ด้านขวา) ยาจะไปจับกับแอนติบอดี IgE บนเซลล์มาสต์โดยตรง แล้วกระตุ้นให้ปล่อยสารเคมีหลายชนิดออกมาทันที โดยเฉพาะฮิสตามีน (histamine) ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ก่อให้เกิดความผิดปกติในหลายระบบของร่างกาย ได้แก่ ผิวหนัง ทางเดินหายใจ และหลอดเลือด จนเกิดอาการต่าง ๆ ดังที่กล่าวมา(4)

รูปที่ 2 กลไกการแพ้ยาแบบเฉียบพลัน ภาพซ้าย: เมื่อได้รับยาครั้งแรก ระบบภูมิคุ้มกันเข้าใจผิดว่ายานั้นเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตราย จึงสร้างแอนติบอดีชนิด IgE ขึ้นมา แล้วไปยึดเกาะบนผิวของเซลล์มาสต์ ภาพขวา: เมื่อได้รับยาครั้งถัดไป ยาจะไปจับกับแอนติบอดี IgE บนเซลล์มาสต์โดยตรง แล้วกระตุ้นให้ปลดปล่อยสารเคมีหลายชนิด เช่น ฮิสตามีน ออกมาทันที ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้

การแพ้ยาแบบไม่เฉียบพลัน มีลักษณะอย่างไร?

การแพ้ยาแบบไม่เฉียบพลันเกิดขึ้นช้ากว่า โดยมักแสดงอาการหลังจากได้รับยาเป็นเวลานาน แบ่งอาการตามความรุนแรงได้ 2 ระดับ คือ

1. อาการไม่รุนแรง (รูปที่ 3 ด้านซ้าย) เช่น ผื่นแดงราบหรือนูน กระจายอย่างสมมาตรทั่วร่างกาย แต่จะไม่พบในบริเวณเยื่อเมือก อาการต่าง ๆ มักเกิดหลังจากใช้ยาไปประมาณ 1 สัปดาห์(1,2,5)

2. อาการรุนแรง (รูปที่ 3 ด้านขวา) เช่น ผื่นแดงราบหรือนูน คันบริเวณใบหน้า มีไข้ ตุ่มน้ำหรือตุ่มหนอง และผิวลอกตามร่างกายและเยื่อบุ เช่น เยื่อบุตา ปาก แขน อวัยวะเพศ รวมถึงอาจพบการทำลายอวัยวะภายใน ทั้งนี้กลุ่มที่มีอาการรุนแรงมักเกิดหลังจากใช้ยาไปมากกว่า 1 สัปดาห์(1-3)

รูปที่ 3 อาการแพ้ยาแบบไม่เฉียบพลันที่พบบ่อย

การแพ้ยาแบบไม่เฉียบพลันเกิดจากเมื่อได้รับที่ทำให้แพ้ (ยาผู้โชคร้าย) เป็นครั้งแรก (รูปที่ 4 ด้านซ้าย) โมเลกุลของยาจะจับกับโปรตีนในร่างกาย (albumin) แล้วทำหน้าที่คล้ายสิ่งแปลกปลอมที่สามารถกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิด T-cell ให้จดจำยาไว้ เมื่อได้รับยาชนิดเดิมอีกครั้ง (รูปที่ 4 ด้านขวา) T-cell ที่จดจำยาไว้จะเริ่มตอบสนองโดยการหลั่งสารกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดอื่น เช่น แมคโครฟาจ (macrophage) ให้พร้อมทำงานทีละน้อยจนเกิดการสะสม เมื่อแมคโครฟาจพร้อมทำงานจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและทำลายเนื้อเยื่อเฉพาะบริเวณ เช่น เกิดผื่นที่ผิวหนัง หรือในบางรายอาจลุกลามหลายระบบ(5)

รูปที่ 4 กลไกการแพ้ยาแบบไม่เฉียบพลัน ภาพซ้าย: เมื่อได้รับยาครั้งแรก ยาจะไปจับกับโปรตีนในร่างกาย เกิดเป็นโมเลกุลแปลกปลอม แล้วกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิด T-cell ให้จดจำยาไว้ ภาพขวา: เมื่อได้รับยาครั้งถัดไป T-cell ที่จดจำยาไว้จะตอบสนองโดยปลดปล่อยสารเพื่อกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดอื่น เช่น แมคโครฟาจ (macrophage) ให้เหนี่ยวนำการอักเสบและทำลายเนื้อเยื่อเฉพาะบริเวณ

รู้จักยาที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อย

แม้ว่ายาทุกชนิดอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ แต่พบว่ายาบางกลุ่มมีรายงานการแพ้บ่อยกว่ายาอื่น ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น เป็นยาที่มีการใช้อย่างแพร่หลาย จึงมีโอกาสพบอาการแพ้ได้มากกว่า ทั้งนี้ตัวอย่างยาที่มีแนวโน้มก่อให้เกิดการแพ้ได้แสดงในตารางด้านล่าง

ตารางแสดงตัวอย่างยาที่พบอาการแพ้ได้บ่อย

ประเภทอาการแพ้ยา

ยาที่เป็นสาเหตุได้บ่อย(6)

ตัวอย่างยา(7-9)

แพ้ยาแบบ

เฉียบพลัน

ยาปฏิชีวนะบางชนิด

amoxicillin, dicloxacillin, clarithromycin

ยาแก้ปวดบางชนิด เช่น ยาในกลุ่มที่เรียกว่า เอ็น-เสด (NSAIDs)

ibuprofen (พบมากสุด), diclofenac, naproxen

ยาฉีดคลายกล้ามเนื้อ

succinylcholine, rocuronium, atracurium

ยาเคมีบำบัด

oxaliplatin

แพ้ยาแบบ

ไม่เฉียบพลัน

ยาปฏิชีวนะบางชนิด

amoxicillin, dicloxacillin, clarithromycin

ยาแก้ปวดบางชนิด เช่น ยาในกลุ่มที่เรียกว่า เอ็น-เสด (NSAIDs)

ibuprofen (พบมากสุด), diclofenac, naproxen

ยารักษาโรคเกาต์

allopurinol

ยากันชัก

phenytoin, carbamazepine, lamotrigine

ยารักษาวัณโรค

isoniazid, rifampicin, ethambutol, pyrazinamide

ยารักษาเอชไอวี (HIV) บางชนิด

abacavir

หากสงสัยว่าแพ้ยาหรือเคยมีประวัติแพ้ยา?

ควรปฏิบัติดังนี้(10)

  1. หากเริ่มมีอาการผิดปกติหลังจากใช้ยา (โดยเฉพาะอาการตามรูปที่ 1 และรูปที่ 3) ควรหยุดใช้ยาทันที
  2. หากมีผื่นขึ้น ควรถ่ายภาพเก็บไว้เป็นข้อมูลประกอบ
  3. รีบไปพบแพทย์ พร้อมนำยาที่ใช้อยู่และมีฉลากชัดเจนไปให้แพทย์และเภสัชกรตรวจสอบ
  4. หากเคยแพ้ยา ให้จำชื่อยาและอาการที่เคยแพ้ และแจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบทุกครั้ง พร้อมแสดงบัตรแพ้ยาหากมี
  5. หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือกลุ่มยาที่เคยแพ้ แต่หากจำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้ ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์และเภสัชกร

สรุป

อาการแพ้ยาเป็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทันทีหรือหลังใช้ยาไปแล้วหลายวัน โดยเฉพาะจากยาที่ถูกใช้บ่อย เช่น ยาปฏิชีวนะและยาแก้ปวดบางชนิด ซึ่งการเข้าใจถึงอาการแพ้ยา ระยะเวลาที่เริ่มเกิดอาการ และวิธีปฏิบัติตัวเบื้องต้นเมื่อสงสัยว่าแพ้ยา เป็นสิ่งสำคัญช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่เหมาะสมในเวลารวดเร็ว โดยหากมีอาการผิดปกติ ควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันที อีกทั้งต้องแจ้งประวัติการแพ้ยาแก่แพทย์และเภสัชกรอย่างชัดเจนทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา

เอกสารอ้างอิง

  1. Demoly P, Adkinson NF, Brockow K, Castells M, Chiriac AM, Greenberger PA, et al. International Consensus on drug allergy. Allergy. 2014; 69(4):420-37.
  2. Solensky R, Phillips EJ. Drug allergy. In: Burks AW, Holgate ST, O’Hehir RE, et al., editors. Middleton’s Allergy: Principles and Practice. 9th ed. China: Elsevier Inc; 2020. p. 1261-81.
  3. Wolf R, Orion E, Marcos B, Matz H. Life-threatening acute adverse cutaneous drug reactions. Clin Dermatol 2005; 23:171-81.
  4. Abbas M, Moussa M, Akel H. Type I Hypersensitivity Reaction. StatPearls [Internet]. Last Update 2023 [cited 19 May 2025]. Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/ books/NBK560561/.
  5. Aryal S. Type IV Cell-Mediated Hypersensitivity: Mechanism and Examples. Microbe Notes [Internet]. 2022 [cited 19 May 2025]. Available from: https://microbenotes. com/type-iv-cell-mediated-hypersensitivity-mechanism-and-examples/.
  6. Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital, Mahidol University. Patients with drug allergy and hypersensitivity: แนวทางการวินิจฉัยผู้ป่วยที่สงสัยแพ้ยาและภาวะไวต่อยาที่ผิดปกติ [Internet]. Bangkok: Mahidol University; [cited 2025 May 5]. Available from: https://www.rama.mahidol.ac.th/med/sites/default/files/public/pdf/medicinebook1/Patients%20with%20drug%20allergy%20and%20hypersensitivity.pdf.
  7. Sonsupap C, Pokhakul P, Kariya T, Suzuki Y, Hamajima N, Yamamoto E. Characteristics of adverse drug reactions due to nonsteroidal anti-inflammatory drugs: a cross-sectional study. Nagoya J Med Sci. 2023; 85(4):668-81.
  8. Lapisatepun W, Charuluxananan S, Kusumaphanyo C, Ittichaikulthol W, Suksompong S, Ratanachai P. The Thai anesthesia incident monitoring study of perioperative allergic reactions: an analysis of 1996 incidents reports. J Med Assoc Thai. 2008; 91(10):1524-30.
  9. Palapinyo S, Klaewsongkram J, Sriuranpong V, Areepium N. Incidence of oxaliplatin hypersensitivity reaction among colorectal cancer patients: A 5-year retrospective study. Pharm Pract (Granada). 2022; 20(2):2635.
  10. Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital, Mahidol University. Drug allergy [Internet]. Bangkok: Mahidol University; [cited 2025 May 5]. Available from: https://www.rama. mahidol.ac.th/ramapharmacy/th/drug%20allergy.


คำค้นที่เกี่ยวข้อง:
แพ้ยา อาการแพ้ ความปลอดภัยในการใช้ยา
 
คลิปความรู้เรื่องยา

EP.2 เกลือแร่สำหรับท้องเสีย ORS (Oral Rehydration Salts)

ดูคลิปทั้งหมด

ข่าวยาล่าสุด
    ดูข่าวยาทั้งหมด


หน่วยคลังข้อมูลยา

447 ถ.ศรีอยุธยา แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
 
ออกแบบและพัฒนาโดย งานเทคโนโลยีสารสนเทศฯ คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล
Copyright © 2013-2020
 
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เราใช้เทคโนโลยีคุกกี้เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างถูกต้อง การเปิดให้ใช้คุณสมบัติทางโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าเว็บไซต์ของเรา การใช้งานเว็บไซต์ต่อถือว่าคุณยอมรับการใช้งานคุกกี้