![]() |
อาการแพ้ยาเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย และมักถูกกล่าวถึงในสื่อต่าง ๆ จนบางครั้งทำให้ผู้ป่วยกังวลเมื่อต้องใช้ยา อย่างไรก็ตามหลายคนยังไม่เข้าใจว่าอาการแพ้ยาเกิดขึ้นเมื่อใด มีลักษณะอย่างไร ยาชนิดใดที่เสี่ยงก่ออาการแพ้ และควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อเกิดอาการ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับอาการแพ้ยา เพื่อเสริมความเข้าใจและความปลอดภัยในการใช้ยา
การแพ้ยาเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเข้าใจผิดว่ายาบางชนิดเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตราย เช่นเดียวกับเชื้อโรค จึงเกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อยานั้นจนทำให้มีอาการผิดปกติในร่างกาย ทั้งนี้การแพ้ยาไม่จำเป็นต้องแสดงอาการในครั้งแรกที่ใช้ยาเสมอไป แต่อาจเกิดขึ้นหลังจากได้รับยานั้นหลายครั้งแล้ว จึงทำให้ผู้ป่วยบางรายเกิดความสงสัยว่าตนเองเคยใช้ยาดังกล่าวมาก่อนโดยไม่มีอาการแพ้ เหตุใดจึงเกิดอาการในครั้งนี้
การแพ้ยาสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มตามระยะเวลาที่เริ่มแสดงอาการ ได้แก่ การแพ้ยาแบบเฉียบพลัน (immediate hypersensitivity) และการแพ้ยาแบบไม่เฉียบพลัน (non-immediate hypersensitivity)
การแพ้ยาแบบเฉียบพลันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมักมีอาการภายใน 1-6 ชั่วโมง หลังได้รับยาครั้งสุดท้าย อาการที่พบ ได้แก่ ผื่นลมพิษ อาการบวมบริเวณริมฝีปากและเปลือกตา หน้ามืด ความดันโลหิตต่ำ หายใจมีเสียงหวีด ปวดท้อง และอาจเกิดภาวะช็อค (รูปที่ 1)(1-3)
รูปที่ 1 อาการแพ้ยาแบบเฉียบพลันที่พบบ่อย
การแพ้ยาแบบเฉียบพลันเกิดจากเมื่อได้รับยาที่ทำให้แพ้ (ยาผู้โชคร้าย) เป็นครั้งแรก (รูปที่ 2 ด้านซ้าย) ระบบภูมิคุ้มกันจะเข้าใจผิดว่ายากำลังก่อให้เกิดอันตราย จึงสร้างแอนติบอดีชนิด IgE ขึ้นมาเพื่อไปยึดเกาะกับเซลล์มาสต์ (mast cell) ต่อมาเมื่อร่างกายได้รับยาชนิดเดิมอีกครั้ง (รูปที่ 2 ด้านขวา) ยาจะไปจับกับแอนติบอดี IgE บนเซลล์มาสต์โดยตรง แล้วกระตุ้นให้ปล่อยสารเคมีหลายชนิดออกมาทันที โดยเฉพาะฮิสตามีน (histamine) ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ก่อให้เกิดความผิดปกติในหลายระบบของร่างกาย ได้แก่ ผิวหนัง ทางเดินหายใจ และหลอดเลือด จนเกิดอาการต่าง ๆ ดังที่กล่าวมา(4)
รูปที่ 2 กลไกการแพ้ยาแบบเฉียบพลัน ภาพซ้าย: เมื่อได้รับยาครั้งแรก ระบบภูมิคุ้มกันเข้าใจผิดว่ายานั้นเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตราย จึงสร้างแอนติบอดีชนิด IgE ขึ้นมา แล้วไปยึดเกาะบนผิวของเซลล์มาสต์ ภาพขวา: เมื่อได้รับยาครั้งถัดไป ยาจะไปจับกับแอนติบอดี IgE บนเซลล์มาสต์โดยตรง แล้วกระตุ้นให้ปลดปล่อยสารเคมีหลายชนิด เช่น ฮิสตามีน ออกมาทันที ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้
การแพ้ยาแบบไม่เฉียบพลันเกิดขึ้นช้ากว่า โดยมักแสดงอาการหลังจากได้รับยาเป็นเวลานาน แบ่งอาการตามความรุนแรงได้ 2 ระดับ คือ
1. อาการไม่รุนแรง (รูปที่ 3 ด้านซ้าย) เช่น ผื่นแดงราบหรือนูน กระจายอย่างสมมาตรทั่วร่างกาย แต่จะไม่พบในบริเวณเยื่อเมือก อาการต่าง ๆ มักเกิดหลังจากใช้ยาไปประมาณ 1 สัปดาห์(1,2,5)
2. อาการรุนแรง (รูปที่ 3 ด้านขวา) เช่น ผื่นแดงราบหรือนูน คันบริเวณใบหน้า มีไข้ ตุ่มน้ำหรือตุ่มหนอง และผิวลอกตามร่างกายและเยื่อบุ เช่น เยื่อบุตา ปาก แขน อวัยวะเพศ รวมถึงอาจพบการทำลายอวัยวะภายใน ทั้งนี้กลุ่มที่มีอาการรุนแรงมักเกิดหลังจากใช้ยาไปมากกว่า 1 สัปดาห์(1-3)
รูปที่ 3 อาการแพ้ยาแบบไม่เฉียบพลันที่พบบ่อย
การแพ้ยาแบบไม่เฉียบพลันเกิดจากเมื่อได้รับที่ทำให้แพ้ (ยาผู้โชคร้าย) เป็นครั้งแรก (รูปที่ 4 ด้านซ้าย) โมเลกุลของยาจะจับกับโปรตีนในร่างกาย (albumin) แล้วทำหน้าที่คล้ายสิ่งแปลกปลอมที่สามารถกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิด T-cell ให้จดจำยาไว้ เมื่อได้รับยาชนิดเดิมอีกครั้ง (รูปที่ 4 ด้านขวา) T-cell ที่จดจำยาไว้จะเริ่มตอบสนองโดยการหลั่งสารกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดอื่น เช่น แมคโครฟาจ (macrophage) ให้พร้อมทำงานทีละน้อยจนเกิดการสะสม เมื่อแมคโครฟาจพร้อมทำงานจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและทำลายเนื้อเยื่อเฉพาะบริเวณ เช่น เกิดผื่นที่ผิวหนัง หรือในบางรายอาจลุกลามหลายระบบ(5)
รูปที่ 4 กลไกการแพ้ยาแบบไม่เฉียบพลัน ภาพซ้าย: เมื่อได้รับยาครั้งแรก ยาจะไปจับกับโปรตีนในร่างกาย เกิดเป็นโมเลกุลแปลกปลอม แล้วกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิด T-cell ให้จดจำยาไว้ ภาพขวา: เมื่อได้รับยาครั้งถัดไป T-cell ที่จดจำยาไว้จะตอบสนองโดยปลดปล่อยสารเพื่อกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดอื่น เช่น แมคโครฟาจ (macrophage) ให้เหนี่ยวนำการอักเสบและทำลายเนื้อเยื่อเฉพาะบริเวณ
แม้ว่ายาทุกชนิดอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ แต่พบว่ายาบางกลุ่มมีรายงานการแพ้บ่อยกว่ายาอื่น ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น เป็นยาที่มีการใช้อย่างแพร่หลาย จึงมีโอกาสพบอาการแพ้ได้มากกว่า ทั้งนี้ตัวอย่างยาที่มีแนวโน้มก่อให้เกิดการแพ้ได้แสดงในตารางด้านล่าง
ตารางแสดงตัวอย่างยาที่พบอาการแพ้ได้บ่อย
ประเภทอาการแพ้ยา |
ยาที่เป็นสาเหตุได้บ่อย(6) |
ตัวอย่างยา(7-9) |
แพ้ยาแบบ เฉียบพลัน |
ยาปฏิชีวนะบางชนิด |
amoxicillin, dicloxacillin, clarithromycin |
ยาแก้ปวดบางชนิด เช่น ยาในกลุ่มที่เรียกว่า เอ็น-เสด (NSAIDs) |
ibuprofen (พบมากสุด), diclofenac, naproxen |
|
ยาฉีดคลายกล้ามเนื้อ |
succinylcholine, rocuronium, atracurium |
|
ยาเคมีบำบัด |
oxaliplatin |
|
แพ้ยาแบบ ไม่เฉียบพลัน
|
ยาปฏิชีวนะบางชนิด |
amoxicillin, dicloxacillin, clarithromycin |
ยาแก้ปวดบางชนิด เช่น ยาในกลุ่มที่เรียกว่า เอ็น-เสด (NSAIDs) |
ibuprofen (พบมากสุด), diclofenac, naproxen |
|
ยารักษาโรคเกาต์ |
allopurinol |
|
ยากันชัก |
phenytoin, carbamazepine, lamotrigine |
|
ยารักษาวัณโรค |
isoniazid, rifampicin, ethambutol, pyrazinamide |
|
ยารักษาเอชไอวี (HIV) บางชนิด |
abacavir |
ควรปฏิบัติดังนี้(10)
อาการแพ้ยาเป็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทันทีหรือหลังใช้ยาไปแล้วหลายวัน โดยเฉพาะจากยาที่ถูกใช้บ่อย เช่น ยาปฏิชีวนะและยาแก้ปวดบางชนิด ซึ่งการเข้าใจถึงอาการแพ้ยา ระยะเวลาที่เริ่มเกิดอาการ และวิธีปฏิบัติตัวเบื้องต้นเมื่อสงสัยว่าแพ้ยา เป็นสิ่งสำคัญช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่เหมาะสมในเวลารวดเร็ว โดยหากมีอาการผิดปกติ ควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันที อีกทั้งต้องแจ้งประวัติการแพ้ยาแก่แพทย์และเภสัชกรอย่างชัดเจนทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา
![]() |