ฝากไข่ : ข้อควรรู้ของผู้หญิงยุคใหม่
ภญ. กชรัตน์ ชีวพฤกษ์ ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล |
|
1,167 ครั้ง เมื่อ 1 ช.ม.ที่แล้ว | |
2024-07-04 |
การฝากไข่หรือการแช่แข็งไข่ คือ กระบวนการนำเซลล์ไข่ที่สมบูรณ์ของผู้หญิงออกมาเก็บรักษานอกร่างกายที่อุณหภูมิเย็นจัด (ต่ำกว่า -196 องศาเซลเซียส) เพื่อคงสภาพเซลล์ไข่ไว้สำหรับการวางแผนมีบุตรในอนาคต โดยปกติการฝากไข่สามารถทำได้ทุกช่วงอายุ แต่เนื่องจากคุณภาพและจำนวนเซลล์ไข่ของผู้หญิงจะลดลงตามอายุที่มากขึ้น ดังนั้นช่วงอายุที่แนะนำให้ฝากไข่คือ 25-35 ปี เพราะเป็นช่วงอายุที่ยังสามารถผลิตจำนวนไข่ที่มีคุณภาพสูงได้ ทั้งนี้ยังขึ้นกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลอีกด้วย จำนวนไข่ที่แนะนำให้แช่แข็งโดยเฉลี่ย คือ 15-20 ใบ
1. การตรวจร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อม
โดยปกติจำเป็นต้องตรวจเลือดเพื่อดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ระดับฮอร์โมนที่บ่งบอกการทำงานของรังไข่ เช่น Estradiol (E2), Luteinizing Hormone (LH), Follicle Stimulating Hormone (FSH) และฮอร์โมนที่บ่งบอกปริมาณสำรองของไข่ที่เหลืออยู่ในรังไข่ (Anti-Mullerian Hormones; AMH) ตรวจหาโรคติดเชื้อ เช่น โรคไวรัสตับอักเสบบีและซี ซิฟิลิส โรคเอดส์ ตรวจหาโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย และตรวจอัลตราซาวด์รังไข่
2. การกระตุ้นรังไข่
หลังจากที่ตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะวางแผนกระตุ้นรังไข่โดย ใช้ยาดังต่อไปนี้
ในระหว่างขั้นตอนของการกระตุ้นไข่คนไข้จะได้ยาในกลุ่ม Gonadotropins และ GnRH antagonist เพื่อรักษาระดับฮอร์โมน FSH และ LH ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของไข่ให้พร้อมสำหรับการเก็บ ดังนั้นจึงควรระวังหรือหลีกเลี่ยงยาบางประเภทที่มีผลต่อระดับของฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้ ดังนี้
ดังนั้นหากคนไข้มีความจำเป็นที่จะต้องรับประทานยาใดๆ ในระหว่างกระบวนการการฝากไข่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อประเมินความเหมาะสมและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และหากมีความจำเป็นต้องใช้ยา ควรใช้ในปริมาณและระยะเวลาที่แพทย์แนะนำเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
การใช้ฮอร์โมนระหว่างการกระตุ้นไข่ อาจทำให้เกิดภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นเกิน (Ovarian hyperstimulation syndrome : OHSS) ผลที่ตามมาทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ท้องอืด ปวดท้อง คลื่นไส้ ปวดศีรษะ เป็นต้น และในขั้นตอนการเก็บไข่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ดูดไข่ออกมาอาจทำให้เกิดเลือดออก ส่งผลให้มีอาการปวดท้องน้อยประมาณ 1-2 วัน หรือมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อในช่องท้องได้
วัตถุกันเสียในไส้กรอก แฮม และโบโลน่า 1 วินาทีที่แล้ว | |
ลำโพง : ไม้ประดับมีพิษ 1 วินาทีที่แล้ว | |
รอบรู้เรื่องธาตุกัมมันตรังสี 1 วินาทีที่แล้ว | |
4 ขั้นตอน การเลือกโพรไบโอติคส์ 3 วินาทีที่แล้ว | |
ประโยชน์ของการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน 5 วินาทีที่แล้ว | |
ปลาดิบไม่มีพยาธิ (จริงหรือ ?) 10 วินาทีที่แล้ว | |
การพัฒนาอนุภาคนาโนและระบบนำส่ง ตอนที่ 1 16 วินาทีที่แล้ว | |
โรคจีซิกพีดี...ยาและอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง 19 วินาทีที่แล้ว | |
ยาแก้ปวดข้อ ข้ออักเสบ-กลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) 24 วินาทีที่แล้ว | |
กลูต้าไธโอน (glutathione) ทำให้ขาวจริงหรือ?? 26 วินาทีที่แล้ว |
|
HTML5 Bootstrap Font Awesome