Loading…

แพ้ยา ป้องกันได้

แพ้ยา ป้องกันได้
นศภ. ดวงกมล กฤษณพิพัฒน์ นักศึกษาฝึกปฏิบัติงานคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
14,630 ครั้ง เมื่อ 2 ช.ม.ที่แล้ว
2014-10-15
แพ้ยา คืออะไร ?
การแพ้ยาคือปฏิกิริยาที่ร่างกายตอบสนองต่อยาผ่านระบบภูมคุ้มกัน เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายจะเกิดการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สร้างสารออกมาเพื่อทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น กระบวนการดังกล่าวทำให้เกิดอาการแพ้ในลักษณะต่าง ได้แก่ ผื่น ริมฝีปากบวม เปลือกตาบวม หรือในบางรายอาจมีการแพ้ที่รุนแรง เช่น เป็นผื่นที่มีลักษณะผิวหนังหลุดลอก ความดันโลหิตต่ำและหยุดหายใจ
แพ้ยาซ้ำเกิดขึ้นได้อย่างไร
ครั้งแรกที่ร่างกายได้รับยาจะเกิดการกระตุ้นเซลล์บางชนิดให้กลายเป็น memory cell เพื่อจดจำยาชนิดนั้นไว้ ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับยาชนิดนั้นในครั้งต่อมา ปฏิกิริยาตอบสนองทางภูมิคุ้มกันจึงเกิดได้เร็วกว่าในครั้งแรก ทำให้อาการแพ้เกิดขึ้นหลังจากใช้ยาในทันที เป็นวัน หรืออาจเป็นสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับกลไกในการแพ้แต่ละชนิด โดยการจัดการที่เหมาะสมสำหรับการแพ้ยาคือ ให้หยุดใช้ยานั้นทันที และ ห้ามใช้ยานั้นอีกต่อไป
ยาในกลุ่มเดียวกันจะมีโอกาสแพ้ด้วยหรือไม่
เนื่องจากโครงสร้างของยาที่ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้น (antigen) ทำให้เกิดการสร้างสารต่อต้านจากร่างกายอาจจะเป็นโครงสร้างส่วนใดส่วนหนึ่งของโมเลกุลยา ดังนั้นการแพ้ยาที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันจึงเกิดขึ้นได้ โดยเรียกการแพ้ยาที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกันในลักษณะนี้ว่า การแพ้ยาข้ามกัน (cross reactivity)
กลุ่มยาที่พบการแพ้ยาข้ามกันมากที่สุดได้แก่ ยาปฏิชีวนะในกลุ่มบีต้าแลคแตม (beta-lactams) ซัลโฟนาไมด์ (sulfonamides) ยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) และกลุ่มยากันชักโดยยาที่มีโครงสร้างคล้ายกันอาจมีการแพ้ยาข้ามกันได้ แต่อย่างไรก็ตามการแพ้ยาข้ามกันบางกรณีไม่ได้เกิดจากปฏิกิริยาการแพ้แต่เป็นผลจากฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของยาเอง เนื่องจากยาในกลุ่มเดียวกันมักจะมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาใกล้เคียงกัน โดยไม่ได้สัมพันธ์กับสูตรโครงสร้าง หากอาการเหล่านั้นเกิดจากผลข้างเคียงของยา ก็ไม่จำเป็นต้องหยุดยาหรือห้ามใช้ยานั้น
แพ้ยาซ้ำ ป้องกันได้อย่างไร
สำหรับแนวทางปฏิบัติของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าแพ้ยา ผู้ป่วยจะได้รับบัตรแพ้ยาจากโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล ผู้ป่วยควรพกบัตรแพ้ยาติดตัวและแสดงบัตรแพ้ยาทุกครั้งเมื่อเข้ารับการตรวจรักษาหรือรับยา รวมทั้งมีข้อควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
  1. พยายามจดจำชื่อยาที่ท่านเคยแพ้
  2. สอบถามชื่อยา สรรพคุณ วิธีใช้อย่างละเอียดเมื่อต้องใช้ยาใดๆก็ตาม
  3. บอกแพทย์ผู้ทำการรักษา ผู้จ่ายยา หรือนำบัตรแพ้ยานี้ไปแสดงทุกครั้งที่ซื้อยารับประทานเอง
  4. หลีกเลี่ยงยาหรือกลุ่มยาที่เคยแพ้ หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่ทราบชื่อ ยาชุด หรือยาซอง
  5. หากมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าแพ้ยาใด ให้หยุดยาทันที และนำตัวอย่างยาดังกล่าว มาปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เนื่องจากอาการแพ้ยานั้นอาจรุนแรงถึงเสียชีวิตได้
ดังนั้นการได้รับการวินิจฉัย ประเมินอาการแพ้และการรักษาอย่างเหมาะสมสามารถช่วยป้องกันการแพ้ยาซ้ำและไม่ทำให้ผู้ป่วยเสียประโยชน์จากการพิจารณาใช้ยาในกลุ่มเดียวกัน
แหล่งอ้างอิง/ที่มา
  1. Frew A. General principles of investigating and managing drug allergy. Br J Clin Pharmacol. 2011; 71: 642-6.
  2. Solensky R, Khan DA, editors. Drug allergy: an updated practice parameter. Ann Allergy Asthma Immunol. 2010; 105: e1-e78.
  3. Depta JP, Pichler WJ. Cross-reactivity with drugs at the T cell level. Curr Opin Allergy Clin Immunol. 2003; 3: 261-7.

บทความที่ถูกอ่านล่าสุด

ผมหงอก ... หัวหงอก ... ผมขาว 1 วินาทีที่แล้ว
ยาต้านเกล็ดเลือด รู้ไว้...ปลอดภัยเมื่อใช้ยา 1 วินาทีที่แล้ว
เครื่องสำอางกับสุขภาพ 3 วินาทีที่แล้ว
วัณโรค ( กลับมาอีกแล้ว....โดยไม่ได้เรียกร้อง) 3 วินาทีที่แล้ว
ท้องผูกและการใช้ยาระบาย 4 วินาทีที่แล้ว
หน้าสวยด้วย “ทานาคาของเมียนม่าร์หรือกระแจะของไทย” 1 นาทีที่แล้ว
รอบรู้เรื่องธาตุกัมมันตรังสี 1 นาทีที่แล้ว
บัวตอง ... ดอกไม้บนยอดดอย 1 นาทีที่แล้ว
คำแนะนำสำหรับว่าที่คุณพ่อ เพื่อเตรียมพร้อมต่อการตั้งครรภ์ 1 นาทีที่แล้ว
ยารักษาโรคเบาหวานกับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ 1 นาทีที่แล้ว

อ่านบทความทั้งหมด

เกี่ยวกับคณะเภสัชศาสตร์

ความสำเร็จของวิชาชีพเภสัชกรรม เกิดจากความรู้ที่สามารถทำให้ผู้บริโภคยา มีการเสี่ยงต่ออันตรายจากยาที่ใช้ให้น้อยที่สุด แต่ได้รับผลในการป้องกัน หรือบำบัดโรคมากที่สุด

ความสำเร็จของวิชาชีพเภสัชกรรม เกิดจากความรู้ที่สามารถทำให้ผู้บริโภคยา มีการเสี่่ยงต่ออันตรายจากยาที่ใช้ให้น้อยที่สุด แต่ได้รับผลในการป้องกัน หรือบำบัดโรคมากที่สุด
ประดิษฐ์ หุตางกูร
คณบดีท่านแรกของคณะเภสัชศาสตร์
Copyright © 2021 - 2024
งานเทคโนโลยีสารสนเทศฯ คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล