Eng |
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ทนพ.เมธี ศรีประพันธ์
ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ชุดตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ด้วยตนเอง (HIV self-testing, HIV self-test หรือ HIV self-screening test) เป็นการตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อไวรัสเอชไอวี (Anti-HIV) โดยผู้ตรวจเป็นผู้เก็บตัวอย่างเลือดจากปลายนิ้ว (finger puncture) หรือสารน้ำในช่องปาก (oral fluid) (ขึ้นกับยี่ห้อของชุดตรวจ) จากนั้นทำการตรวจและแปลผลตรวจเบื้องต้นด้วยตนเอง ซึ่งชุดตรวจนี้สามารถใช้ตรวจได้หลังจากมีความเสี่ยงตั้งแต่ 21-30 วันขึ้นไป จากข้อมูลปัจจุบัน (ตุลาคม 2567) มีชุดตรวจที่ผ่านการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทั้งสิ้น 4 ยี่ห้อ
ใครบ้างควรใช้ชุดตรวจ HIV self-testing
ผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน สัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งจากผู้ไม่ทราบผลเลือดผ่านทางบาดแผลรวมถึงผู้ต้องการทราบสถานะการติดเชื้อ
เตรียมตัวอย่างไรก่อนตรวจด้วยชุดตรวจ HIV self-testing
โดยทั่วไปแล้วผู้ตรวจไม่จำเป็นต้องอดน้ำหรืออาหารก่อนการตรวจ อย่างไรก็ตามในกรณีที่ต้องการตรวจโดยใช้ตัวอย่างจากสารน้ำในช่องปาก ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำหรือทานอาหารก่อนทำการตรวจอย่างน้อย 30 นาที รวมถึงผู้ที่ใส่ฟันปลอมหรือวัสดุในช่องปากที่คลุมเหงือกจะต้องถอดออกทุกครั้งก่อนการเก็บตัวอย่าง
วิธีใช้ชุดตรวจ HIV self-testing
1. เลือกใช้ชุดตรวจที่ผ่านการขึ้นทะเบียนและได้รับการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งปัจจุบันมีชุดตรวจ 2 ประเภทคือ ตรวจจากเลือดที่เจาะจากปลายนิ้วและตรวจจากสารน้ำในช่องปาก โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลชุดตรวจที่ผ่านการรับรองและขึ้นทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
(https://porta.fda.moph.go.th/fda_search_all/main/search_center_main.aspx)
2. ตรวจสอบชุดตรวจก่อนใช้งาน โดยซองหรือกล่องบรรจุชุดตรวจจะต้องไม่มีรอยรั่วหรือฉีกขาด จากนั้นตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ บนฉลากของชุดตรวจ เช่น ชื่อชุดตรวจ รหัสสินค้าของชุดตรวจ ชื่อและสถานที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า วันที่ผลิต วันหมดอายุ เลขใบอนุญาต รายละเอียดน้ำยาและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มาพร้อมชุดตรวจ ข้อบ่งใช้ วิธีการใช้และวิธีการเก็บรักษาชุดตรวจ เป็นต้น นอกจากนี้ชุดตรวจจะต้องแสดงข้อความด้วยตัวอักษรสีแดงได้แก่“ห้ามใช้ชุดตรวจคัดกรองด้วยตนเองในผู้ที่รับยาต้านไวรัสเอชไอวีแล้วเนื่องจากอาจเกิดผลลบปลอม (false negative)” และ “ใช้ตรวจคัดกรองเบื้องต้นด้วยตนเองเท่านั้น หากตรวจพบมีปฏิกิริยา (reactive) ต้องได้รับการตรวจยืนยันการวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวีจากหน่วยบริการที่สามารถตรวจยืนยันวินิจฉัยได้”
3. เตรียมสถานที่ตรวจโดยเลือกพื้นที่ที่สะอาดและเป็นส่วนตัว อ่านเอกสารกำกับหรือวิธีใช้ชุดตรวจโดยละเอียดและครบถ้วนก่อนใช้งาน
4. ดำเนินการตรวจคัดกรองด้วยชุดตรวจ HIV self-testing ตามขั้นตอนที่เขียนไว้ในเอกสารกำกับหรือวิธีใช้ชุดตรวจ
5. อ่านและแปลผลการทดสอบตามระยะเวลาที่เขียนไว้ในคู่มือการใช้ชุดตรวจแต่ละยี่ห้อ โดยสามารถอ่านผลได้ทันทีหรือต้องรอผล 15 – 20 นาที (ขึ้นกับยี่ห้อของชุดตรวจ) ทั้งนี้การอ่านผลเร็วหรือช้าเกินไปอาจทำให้ผลการตรวจผิดพลาดได้
การแปลผลตรวจชุดตรวจ HIV self-testing
1. เกิดปฏิกิริยา (Reactive) เมื่อสังเกตที่ชุดตรวจจะมีแถบหรือจุดสีขึ้น 2 บริเวณที่ตำแหน่ง C และ T โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นสีเข้มหรือจาง ซึ่งแปลผลว่า อาจติดเชื้อเอชไอวี ทั้งนี้ผู้ตรวจควรเข้าไปรับการตรวจยืนยันผลอีกครั้งที่สถานพยาบาลที่สามารถตรวจยืนยันและวินิจฉัยได้
2. ไม่เกิดปฏิกิริยา (Non-reactive) เมื่อสังเกตชุดตรวจจะมีแถบหรือจุดสีขึ้นที่ตำแหน่ง C เพียงบริเวณเดียว ซึ่งแปลผลว่า ไม่พบการติดเชื้อเอชไอวี (ไม่พบแอนติบอดีต่อเชื้อไวรัสเอชไอวี) โดยถ้าตรวจหลังจากมีความเสี่ยงเกินกว่า 90 วันไปแล้วหรือไม่ได้มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อสามารถยืนยันผลเป็นลบได้ ในกรณีที่ตรวจคัดกรองในช่วง 90 วันหลังมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรตรวจซ้ำครั้งที่ 2 อย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไปหลังมีพฤติกรรมเสี่ยงหรือเข้ารับการตรวจเพิ่มเติมที่สถานพยาบาลที่สามารถตรวจยืนยันและวินิจฉัยได้
3. ไม่สามารถแปลผลได้ (Invalid) เมื่อสังเกตที่ชุดตรวจจะไม่พบแถบหรือจุดสีเกิดขึ้นที่บริเวณอ่านผล นอกจากนี้อาจพบแถบหรือจุดสีที่ตำแหน่ง T เพียงบริเวณเดียว ในกรณีนี้ต้องตรวจซ้ำอีกครั้งหนึ่งหรือเข้ารับการตรวจที่สถานพยาบาลที่สามารถตรวจยืนยันและวินิจฉัยได้
ภาพการแปลผลการตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวีด้วยชุดตรวจ HIV self-testing
ข้อจำกัดของชุดตรวจ HIV self-testing
1. ไม่เหมาะกับผู้ที่ทานยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (PrEP) ผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาการติดเชื้อเอชไอวีรวมถึงผู้เคยเข้าร่วมการศึกษาทดลองวัคซีนเอชไอวี
2. ไม่เหมาะกับผู้ที่ทราบอยู่แล้วว่าติดเชื้อเอชไอวีหรือหลังมีพฤติกรรมเสี่ยงไม่เกิน 21-30 วัน ทั้งนี้การตรวจก่อนช่วงเวลาดังกล่าวอาจให้ผลลบปลอมได้ เนื่องจากอาจอยู่ในช่วง window period หรือระยะที่ร่างกายยังไม่สร้างแอนติบอดีต่อเชื้อจนถึงในระดับที่ตรวจได้
3. ชุดตรวจที่ใช้ตัวอย่างจากเลือดอาจไม่เหมาะกับผู้มีภาวะเลือดออกผิดปกติหรือผู้ที่เป็นโรคกลัวเข็ม
4. ชุดตรวจนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการใช้คัดกรองการติดเชื้อเอชไอวีก่อนการบริจาคโลหิต
5. ความเข้มของแถบหรือจุดสีที่เกิดขึ้นในตำแหน่ง T ของชุดตรวจไม่ได้บ่งบอกปริมาณของแอนติบอดีที่ตรวจพบ
6. ชุดตรวจนี้ไม่สามารถทดแทนการตรวจด้วยวิธีมาตรฐานทางห้องปฏิบัติการได้
ประโยชน์ของการใช้ชุดตรวจ HIV self-testing
ทำให้ประชาชนเข้าถึงระบบการตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวีได้ง่ายขึ้น โดยผู้ที่มีความเสี่ยงสามารถตรวจคัดกรองได้ด้วยตนเองและมีความเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ทำให้ทราบผลการตรวจได้ไวขึ้นและเข้าสู่ระบบการรักษาได้รวดเร็วขึ้นด้วยยาต้านไวรัสในกรณีที่ตรวจพบการติดเชื้อเอชไอวี รวมถึงเป็นการเพิ่มศักยภาพในการควบคุมการติดเชื้อเอชไอวีของประเทศไทย
วิธีทิ้งหรือทำลายชุดตรวจ HIV self-testing ที่ใช้แล้ว
สามารถหาซื้อชุดตรวจ HIV self-testing ได้จากที่ใดบ้าง
ผู้ที่ต้องการตรวจสามารถซื้อชุดตรวจ HIV self-testing ได้ที่ร้านยา คลินิกเวชกรรม คลินิกเทคนิคการแพทย์ คลินิกนิรนาม นอกจากนี้ยังสามารถรับชุดตรวจ HIV self-testing ได้ฟรีที่หน่วยบริการสุขภาพในระบบ สปสช. หรือผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” คนไทยทุกคนยังมีสิทธิในการตรวจการติดเชื้อเอชไอวีฟรีปีละ 2 ครั้ง โดยใช้บัตรประชาชนเพื่อเข้ารับบริการได้ที่โรงพยาบาลภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คลินิกนิรนาม ศูนย์การแพทย์บางรัก คลินิกชุมชน สีลมรวมถึงคลินิกและศูนย์การแพทย์อื่น ๆ ที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ
Designed by Freepik.com
1. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Getting tested for HIV [Internet]. 2024 [cited 2024 Sep 26].
2. กระทรวงสาธารณสุข. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2562 เรื่อง ชุดตรวจที่เกี่ยวข้องกับการตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตนเอง เล่มที่ 136 ตอนพิเศษ 89 ง (ลงวันที่ 9 เมษายน 2562).
3. กลุ่มภารกิจด้านข่าวและสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. คกก.เอดส์ชาติ เห็นชอบใช้ชุดตรวจ HIV Self-Test คัดกรองด้วยตนเอง ทราบผลไว เข้าสู่ระบบป้องกันและรักษาที่รวดเร็ว พร้อมชูแนวคิดองค์กร “ดูแล ห่วงใย ใส่ใจป้องกันเอดส์ในที่ทำงาน [อินเทอร์เน็ต]. 2565 [เข้าถึงเมื่อ 17 เม.ย. 2567].
4. กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการจัดบริการตรวจคัดกรองเอชไอวีด้วยตนเอง ประเทศไทย (National guideline on HIV self-screening test service in Thailand) [อินเทอร์เน็ต]. 2565 [เข้าถึงเมื่อ 18 เมษายน 2567].
5. กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. News & Update by DAS ฉบับ 003 ประจำเดือนกรกฎาคม 2565 [อินเทอร์เน็ต]. 2565 [เข้าถึงเมื่อ 23 เมษายน 2567].
6. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. ชุดตรวจ HIV ด้วยตัวเอง [อินเทอร์เน็ต]. 2566 [เข้าถึงเมื่อ 23 เมษายน
7. กลุ่มสื่อสารและสนับสนุนวิชาการ กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. DAS DDC No.1 จุลสารกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ฉบับที่ 1 [อินเทอร์เน็ต]. 2567 [เข้าถึงเมื่อ 11 กรกฎาคม 2567].
8. กลุ่มพัฒนาระบบดูแลด้านจิตสังคม กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. HIVSST ระบบขอรับการสนับสนุนชุดตรวจเอชไอวีและการให้การปรึกษาทางออนไลน์ [อินเทอร์เน็ต]. 2567 [เข้าถึงเมื่อ 7 กันยายน 2567]. เข้าถึงได้จาก:
9. กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ชุดความรู้สำหรับให้บริการตรวจ เอชไอวีด้วยตนเอง [อินเทอร์เน็ต]. 2565 [เข้าถึงเมื่อ 13 กันยายน 2567].
10. ปกิตตา คิดสำเร็จ. ทำไมถึงต้องตรวจ HIV?[อินเทอร์เน็ต]. 2566 [เข้าถึงเมื่อ 28 ตุลาคม 2567].