Eng |
อาจารย์ ดร. กภญ.ยิ่งรัก บุญดำ ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เมื่อเรารู้สึกวิตกกังวลหรือมีความกลัวเกิดขึ้น ร่างกายของเราจะตกอยู่ในภาวะที่มีความเครียด ทันใดนั้นร่างกายจะมีการตอบสนองอย่างอัตโนมัติเกิดขึ้นทันที เช่น อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น เลือดไปเลี้ยงที่กล้ามเนื้อมากขึ้น รวมถึงกล้ามเนื้อมีความตึงตัวเพิ่มขึ้น เป็นต้น การตอบสนองที่เกิดขึ้นเช่นนี้เกิดจากการทำงานของระบบประสาทอัตโนวัติซิมพาเทติก เป็นการตอบสนองของร่างกายที่ “จะสู้หรือจะหนี (Fight-or-flight)” เพื่อต้องการที่จะให้ร่างกายเอาชนะหรือมีชีวิตรอดต่อภาวะที่เผชิญอยู่ได้ ซึ่งเมื่อภาวะความเครียดผ่านพ้นไป การตอบสนองเหล่านี้ก็จะหายไปด้วยเช่นเดียวกัน
การตอบสนองของสมองต่อภาวะเครียด
หลายครั้งที่เราอาจสงสัยว่าทำไมเมื่อเราเผชิญกับความเครียด เราถึงมักมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อร่วมด้วย และยิ่งความเครียดคงอยู่เป็นระยะเวลานาน อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อก็จะรุนแรงตามเช่นเดียวกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนมีความเป็นเหตุเป็นผลกัน กล่าวคือ เมื่อร่างกายมีภาวะเครียด จะมีสมองส่วนหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายถั่วอัลมอลด์ เรียกว่า อะมิกดะลา (amygdala) ทำหน้าที่เป็นตัวรับรู้ ประเมิน และสั่งการให้มีการตอบสนองเกิดขึ้น โดยอะมิกดะลาจะทำหน้าที่ประเมินระดับความเครียดร่วมกับสมองส่วนหน้า (prefrontal cortex) หากสมองทั้งสองส่วนประเมินแล้วว่าเรากำลังตกอยู่ในภาวะเครียด สมองส่วนอะมิกดะลาจะส่งสัญญาณไปบอกสมองส่วนไฮโปธาลามัส (hypothalamus) ซึ่งจะส่งสัญญาณต่อไปยังต่อมใต้สมอง (pituitary gland) และต่อมหมวกไต (adrenal gland) ตามลำดับ ทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) และสารอะดรีนาลิน (adrenaline) เข้าสู่กระแสเลือด นอกจากนี้สมองส่วนไฮโปธาลามัสยังสามารถกระตุ้นระบบประสาทอัตโนวัติชนิดซิมพาเทติก (sympathetic nervous system) ทำให้เกิดการหลั่งสารนอร์อะดรีนาลิน (noradrenaline) บริเวณปลายประสาทเฉพาะที่และหลั่งสารอะดรีนาลินเข้าสู่กระแสเลือด สารอะดรีนาลีนที่ถูกหลั่งออกมาจะส่งผลต่อการทำงานในหลาย ๆ อวัยวะ เช่น หลอดเลือด หัวใจ ปอด รวมถึงกล้ามเนื้อโครงร่างของร่างกาย
โดยในอดีตเชื่อว่าสารอะดรีนาลินออกฤทธิ์ทางอ้อมต่อกล้ามเนื้อโครงร่าง โดยการทำให้หลอดเลือดส่วนปลายและหลอดลมขยายตัวมากขึ้น จึงทำให้มีเลือด ก๊าซออกซิเจน และสารอาหารไปที่กล้ามเนื้อโครงร่างเพิ่มมากขึ้น ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อสามารถสร้างพลังงานได้มากขึ้น กล้ามเนื้อจึงหดตัวได้ดีขึ้น แต่ในปัจจุบันเริ่มมีงานวิจัยที่มาสนับสนุนกลไกการออกฤทธิ์โดยตรงของสารอะดรีนาลินต่อกล้ามเนื้อโครงร่าง โดยจากการศึกษาในหนูพบว่า กล้ามเนื้อโครงร่างของหนูมีตัวรับสารอะดีนาลินชนิดเบต้าอะดรีเนอร์จิก (beta-adrenergic receptor) ดังนั้นสารอะดรีนาลินที่หลั่งออกมาจึงสามารถจับกับตัวรับที่อยู่บนกล้ามเนื้อโครงร่างได้โดยตรงและเหนี่ยวนำให้ซาร์โคพลาสมิก เรติคิวลัม (sarcoplasmic reticulum) หลั่งแคลเซียมออกมาภายในเซลล์เพิ่มขึ้น ซึ่งแคลเซียมเป็นโมเลกุลสำคัญที่มีความจำเป็นต่อการหดตัวของกล้ามเนื้อ ดังนั้นเมื่อมีแคลเซียมภายในเซลล์เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้การหดตัวของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นตาม นอกจากนี้พบว่าสารนอร์อะดรีนาลินที่หลั่งออกจากปลายประสาทซิมพาเทติกบริเวณกล้ามเนื้อโครงร่างจะเข้าจับกับตัวรับชนิดเบต้าอะดรีเนอร์จิกและเหนี่ยวนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโมเลกุลภายในเซลล์กล้ามเนื้อ ส่งผลให้กล้ามเนื้อโครงร่างมีการแสดงออกของตัวรับแอซิติลโคลีน (acetylcholine receptor) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งการจับกันระหว่างสารแอซิติลโคลีนกับตัวรับเป็นปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อโครงร่างนั่นเอง จากการศึกษาในหนูที่ผ่านมานี้จึงอาจเป็นไปได้ว่ากลไกการออกฤทธิ์ของสารอะดรีนะลินต่อกล้ามเนื้อโครงร่างในร่างกายมนุษย์เรานั้นก็อาจเป็นไปในลักษณะเดียวกัน
ความเชื่อมโยงกันระหว่างสมองส่วนอะมิกดะลาและกล้ามเนื้อโครงร่างไม่ได้ผ่านการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติกเท่านั้น อวัยวะทั้งสองส่วนสามารถติดต่อสื่อสารกันผ่านทางการทำงานของก้านสมอง (brainstem) ได้อีกด้วย โดยเมื่อมีอาการเครียดเกิดขึ้น อะมิกดะลาจะส่งสัญญาณไปยังก้านสมอง ซึ่งจะส่งสัญญาณต่อไปยังไขสันหลัง (spinal cord) อันเป็นที่อยู่ของเซลล์ประสาทยนต์ที่สามารถสั่งการให้กล้ามเนื้อโครงร่างเกิดการหดตัวและมีแรงตึงตัวเพิ่มขึ้นได้
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาในข้างต้นทั้งหมดนั้น การเปลี่ยนแปลงทั้งความเร็วและความแรงในการหดตัวของกล้ามเนื้อ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของแรงตึงตัวภายในกล้ามเนื้อโครงร่าง จึงเป็นการเตรียมพร้อมของร่างกายต่อการตอบสนองแบบ fight-or-flight เมื่อมนุษย์ต้องเผชิญกับภาวะเครียดนั่นเอง (รูปที่ 1)
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะเครียดกับท่าทางของร่างกาย
หลายการศึกษาพบว่า เมื่อคนเราเผชิญกับภาวะเครียด ความวิตกกังวล รวมถึงอารมณ์ด้านลบ มักจะแสดงท่าทางออกมาในลักษณะที่คล้ายๆ กัน นั่นคือ กอดอก ห่อไหล่ หลังค่อม และบางรายอาจมีอาการกัดฟันร่วมด้วย โดยท่าทางลักษณะนี้อาจเป็นสัญชาตญาณของร่างกายที่จะปกป้องตัวเองให้ปลอดภัยมากที่สุด โดยลักษณะท่าทางของร่างกายที่ปรากฏนั้น หากคงอยู่เป็นระยะเวลานานจะส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณคอ หลัง และรอบข้อไหล่ ทำงานไม่สมดุลกัน พบว่าการที่เรากอดอกและห่อไหล่ต้องอาศัยการหดตัวของกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกและกล้ามเนื้อบริเวณบ่า และการที่เราอยู่ในท่าทางเหล่านั้นเป็นระยะเวลานานจะทำให้หลังค่อมและคอยื่นตามมา การที่คอยื่นจะส่งผลให้กล้ามเนื้อด้านข้างของคอที่เกาะในแนวกกหูมายังไหปลาร้าหดตัวเกร็งค้าง และกล้ามเนื้อคอมัดลึกบริเวณท้ายทอยก็ต้องหดตัวเกร็งค้างเช่นกันเพื่อที่จะดึงศีรษะของเราขึ้นมา ไม่ให้ตกลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก และเพื่อปรับระดับสายตาให้อยู่ในแนวระนาบทำให้สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนนั่นเอง นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อบางส่วนเท่านั้นที่เกิดขึ้นเมื่อเราตกอยู่ในภาวะเครียด โดยความตึงตัวของกล้ามเนื้อสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายบริเวณเช่นเดียวกับระดับความตึงตัวก็แตกต่างกันไปขึ้นกับแต่ละบุคคล
สาเหตุของการปวดกล้ามเนื้อ
การหดเกร็งของกล้ามเนื้อเป็นระยะเวลานานเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีอาการปวดกล้ามเนื้อเกิดขึ้น เนื่องจากหากพิจารณาตามลักษณะโครงสร้างของกล้ามเนื้อ พบว่ารอบๆ และภายในกล้ามเนื้อจะมีเส้นเลือดวางตัวอยู่ เพื่อใช้เป็นเส้นทางในการลำเลียงสารอาหาร ออกซิเจน รวมถึงใช้ในการขนส่งของเสีย ไม่ว่าจะเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และกรดไปกำจัดทิ้ง ในการหดตัวของกล้ามเนื้อนั้นจะมีการสร้างของเสียออกมาเสมอ เช่น กรดแลคติก และการที่กล้ามเนื้อหดตัวเกร็งค้างจะทำให้เกิดการบาดเจ็บของใยกล้ามเนื้อ ส่งผลให้มีการสร้างสารอักเสบต่างๆ ออกมา ในขณะเดียวกันการหดตัวเกร็งค้างของกล้ามเนื้อจะบีบรัดเส้นเลือดทำให้เส้นทางในการขนส่งสารต่างๆ ถูกขัดขวาง เกิดการคั่งของกรดและสารอักเสบรอบๆ กล้ามเนื้อ ซึ่งสารเหล่านี้สามารถกระตุ้นตัวรับรู้ความเจ็บปวดบริเวณกล้ามเนื้อ เมื่อตัวรับรู้ถูกกระตุ้น จะส่งสัญญาณขึ้นไปยังสมองโดยไปตามเส้นประสาทรับความรู้สึก ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดกล้ามเนื้อตามมานั่นเอง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่พบว่า ความเครียดและความวิตกกังวลสามารถเพิ่มระดับความรับรู้ความเจ็บปวดและยังลดความทนทานต่อความรู้สึกปวด เราจึงรู้สึกปวดกล้ามเนื้อมากกว่าคนที่ไม่ได้เผชิญกับภาวะเครียดนั่นเอง ในทางกลับกัน อาการปวดที่คงอยู่ก็สามารถกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมีความตึงตัวเพิ่มขึ้นและเพิ่มความวิตกกังวลให้กับเราได้ด้วยเช่นกัน เกิดเป็นวงจรอันตรายไม่สิ้นสุด ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครหลายคนที่มีภาวะเครียดหรือวิตกกังวลจึงมักมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณบ่า คอ และศีรษะบริเวณท้ายทอย ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ รวมถึงกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติกให้ทำงานเพิ่มขึ้นร่วมด้วยได้
การจัดการอาการปวด
การจัดการอาการปวดกล้ามเนื้อที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ การจัดการที่สาเหตุของปัญหา นั่นคือ การจัดการภาวะเครียด แต่ในความเป็นจริงนั้น วิธีการนี้เป็นการจัดการที่ยากสุด อาการปวดจึงมักจะเป็นเรื้อรัง รักษาให้หายขาดได้ยากนั่นเอง ดังนั้นวิธีจัดการจึงมักมุ่งเน้นไปที่การลดอาการปวด ลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ดังต่อไปนี้