Eng |
อาจารย์ ดร. ผกากรอง วนไพศาล ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
องค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟแนะนำให้แม่ควรให้นมบุตรเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งตามมาตรฐานทั่วไปทารกควรได้รับนมแม่อย่างต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปีหรือนานกว่านั้น นมแม่ถือเป็นอาหารของทารกที่สมบูรณ์และเหมาะสมที่สุดทั้งในแง่ขององค์ประกอบด้านโภชนาการและการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน นมแม่ประกอบไปด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพหลายชนิด เช่น แอนติบอดีและโปรตีนต่างๆ ที่เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน สารต่อต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน นอกจากนี้ยังมีเซลล์ที่มีชีวิตต่างๆ ทั้งเซลล์จากแม่ รวมทั้งแบคทีเรียที่ดีต่อระบบทางอาหารของทารกอีกด้วย
นมแม่มีความจำเพาะกับแม่และลูก เนื่องจากองค์ประกอบในนมแม่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล และมีความผันแปรอยู่เสมอ เช่น นมแม่ที่ผลิตขึ้นในแต่ระยะของการเจริญเติบโตของทารกจะมีปริมาณสารอาหารที่แตกต่างกันและมีสารอาหารตามความต้องการของร่างกายทารก และยังจำเพาะกับสภาวะแวดล้อมที่อยู่อาศัย เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของทารกยังไม่สมบูรณ์ ทารกจะมีภูมิคุ้มกันโดยรับแอนติบอดีต่างๆ ตามที่แม่สร้างขึ้นผ่านทางนมแม่ นมแม่จึงช่วยให้ทารกสามารถปรับตัวสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อปกป้องทารกจากสภาวะแวดล้อมที่อยู่อาศัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอได้ นมแม่จึงถือเป็นอาหารและยาที่ดีที่สุดของทารก ซึ่งแตกต่างจากนมผงปรุงแต่งที่ถึงแม้ว่าบริษัทผู้ผลิตจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความใกล้เคียงกับนมแม่ แต่ไม่สามารถสังเคราะห์สารก่อภูมิคุ้มกันที่มีความจำเพาะตามที่แม่สร้างได้ อย่างไรก็ตามหากแม่ไม่สามารถให้นมลูกจากอก หรือไม่ได้อยู่กับลูกตลอดเวลา การเก็บรักษาน้ำนมเพื่อให้ลูกกินในภายหลังเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ลูกได้รับนมแม่ การจัดเก็บรักษานมแม่เพื่อคงคุณค่าของสารอาหารจึงเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเช่นเดียวกัน
สารอาหารในน้ำนมแม่
สารอาหารในน้ำนมแม่มีความผันแปรตามระยะการผลิตน้ำนม นมแม่ที่ร่างกายแม่ผลิตขึ้นมี 3 ระยะ ในระยะแรกมักมีสีเหลือง บางคนอาจเรียกว่าน้ำนมเหลือง หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าโคลอสตรุ้ม (Colostrum) โคลอสตรุ้มนี้จะถูกสร้างขึ้นเพียงระยะ 1-3 วันแรกภายหลังการคลอดบุตรเท่านั้น และเต็มไปด้วยสารสร้างภูมิต้านทาน เช่น IgA แลคโตเฟอริน เซลล์เม็ดเลือดขาว โปรตีนต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย น้ำนมในระยะนี้จะมีปริมาณน้ำตาลแลคโตสไม่สูงมากนัก มีปริมาณแร่ธาตุต่างๆ เช่น โซเดียม คลอไรด์ แมกนีเซียม ปริมาณสูง แต่มีปริมาณโพแทสเซียม และแคลเซียมต่ำกว่านมที่ผลิตระยะหลัง ถือได้ว่าน้ำนมระยะนี้ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ร่างกายมากกว่าการเร่งการเจริญเติบโต
น้ำนมในระยะต่อมาจะมีลักษณะขาวขึ้น เรียกว่า ระยะน้ำนมปรับเปลี่ยน (Transitional milk) คือ ระยะการเปลี่ยนจากหัวน้ำนมแม่เป็นน้ำนมแม่ จะหลั่งในช่วง 5 วันจนถึง 2 สัปดาห์หลังคลอด โดยมีส่วนประกอบที่เหมาะสมแก่การเจริญเติบโต และพัฒนาการเพิ่มมากขึ้น น้ำนมระยะที่ 3 เรียกว่า ระยะน้ำนมแม่ (Mature milk) ระยะนี้น้ำนมจะมีสีขาว มีไขมันมากขึ้น ปริมาณน้ำนมที่ผลิตจะมีมากขึ้น ประกอบไปด้วยสารอาหารต่างๆ และสารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ร่างกาย
น้ำนมในระยะน้ำนมแม่ ประกอบด้วยธาตุอาหารหลัก ซึ่งได้แก่ โปรตีน ไขมัน น้ำตาลแลคโตส จากการศึกษาองค์ประกอบของน้ำนมภายหลังจาก 4 เดือนหลังคลอดพบว่าปริมาณของธาตุอาหารหลักในนมแม่ขึ้นอยู่ กับหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับแม่ ได้แก่ น้ำหนักของแม่ ปริมาณโปรตีนที่แม่ได้รับ การมีประจำเดือน และความถี่ของการให้นมบุตร การศึกษาพบว่าแม่ที่ผลิตน้ำนมในปริมาณมากจะมีความเข้มข้นของไขมันและโปรตีนในน้ำนมต่ำ แต่มีความเข้มข้นของแลคโตสสูงกว่าแม่ที่ผลิตน้ำนมได้น้อย
โปรตีนส่วนใหญ่ที่อยู่ในน้ำนมได้แก่ เคซีนชนิดเบต้า อัลฟาแลคตาบูมิน แลคโตเฟอริน (โปรตีนที่ยับยั้งการเจริญของเชื้อโรคบางชนิด) อิมมูโนโกลบูลิน A (IgA) (เพิ่มภูมิต้านทาน) ไลโซไซม์ (เอนไซม์ที่มีฤทธิ์ทำลายผนังเซลล์ของแบคทีเรีย) และซีรัมอัลบูมิน พบว่าการรับประทานอาหารของแม่ไม่มีผลต่อปริมาณโปรตีนในน้ำนม
ไขมันในน้ำนมประกอบด้วย ไขมันหลายชนิด ได้แก่ ไตรกลีเซอไรด์ ฟอสโฟไลปิดส์ โคเลสเตอรอล ไดกลีเซอไรด์ โมโนกลีเซอไรด์ กรดไขมันสายยาวชนิดไม่อิ่มตัว (Long chain polyunsaturated fatty acids, LCPUFA) ได้แก่ DHA (docosahexaenoic acid) และ AA (Arachidonic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่สำคัญต่อการพัฒนาระบบประสาทและการมองเห็น ซึ่งไขมันในนมส่วนหลัง (Hind milk) อาจมีปริมาณมากกว่านมส่วนหน้า (Fore milk) มากถึง 3-5 เท่า จากการศึกษาพบว่าไขมันในนมแม่ที่ผลิตช่วงกลางคืนและช่วงเช้าของวันจะมีปริมาณไขมันน้อยกว่าน้ำนมที่ผลิตในช่วงกลางวันหรือช่วงเย็นของวัน ปริมาณไขมันยังสัมพันธ์กับอาหารที่แม่รับประทาน โดยเฉพาะไขมันชนิด LCPUFA พบว่าปริมาณ DHA ในน้ำนมขึ้นอยู่กับปริมาณ DHA ที่แม่ได้รับประทานเข้าไป
น้ำตาลชนิดที่พบในนมแม่คือ น้ำตาลแลคโตส พบว่าแม่ที่ผลิตน้ำนมได้ปริมาณมากจะมีปริมาณน้ำตาลแลคโตสสูงมากกว่าแม่ที่ผลิตน้ำนมได้น้อย นอกจากนี้ในนมแม่ยังมีโอลิโกแซคคาไรด์หรือคาร์โบไฮเดรตสายสั้นๆ (Human milk oligosaccharides, HMOs) ที่มีโมเลกุลของน้ำตาลประมาณ 3-32 โมเลกุล HMOs ของมนุษย์มีมากกว่า 200 ชนิดมากกว่าโอลิโกแซคคาไรด์ที่พบในนมวัวถึง 5 เท่า เป็นส่วนประกอบของน้ำนมที่มีปริมาณสูงเป็นอันดับ 3 รองจากน้ำตาลแลคโตส และไขมัน HMOs ในนมแม่มีความแตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ อย่างไรก็ตามพบว่าทารกไม่สามารถย่อย HMOs ได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว HMOs จึงเคลื่อนที่ผ่านกระเพาะ ลำไส้เล็ก และถูกนำมาสะสมในลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นที่อยู่ของจุลินทรีย์หลากหลายชนิด จากการศึกษาพบว่า HMOs ในนมแม่จัดเป็น พรีไบโอติก (Prebiotics) หรือแหล่งอาหารสำคัญของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเรียกว่าโพรไบโอติก (Probiotics) ซึ่งมีความสำคัญต่อการเจริญของแบคทีเรียที่อยู่ในร่างกายทารก แบคทีเรียที่สำคัญชนิดหนึ่ง ได้แก่ Bifidobacterium longum infantis แบคทีเรียนี้สามารถใช้ HMOs และสังเคราะห์กรดไขมันสายสั้นที่เป็นอาหารของเซลล์ทางเดินอาหารในทารก ทำให้เซลล์ทางเดินอาหารของทารกสร้างโปรตีนที่ช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้
วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ที่มีในนมแม่ และสำคัญต่อการเจริญเติบโต ได้แก่วิตามิน A, B1, B2, B6, B12, C, D, E, K และแร่ธาตุต่างๆ ได้แก่ เหล็ก แคลเซียม ไอโอดีน เป็นต้น ถึงแม้ว่าปริมาณสารอาหารสำคัญในนมแม่จะเพียงพอต่อความต้องการของทารก อย่างไรก็ตามปริมาณธาตุอาหารหลายชนิดในน้ำนมแม่อาจมีความแตกต่างกันโดยขึ้นอยู่กับการรับประทานอาหาร และร่างกายของแม่
นอกจากนี้ในน้ำนมแม่ยังประกอบด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพมากมายหลายชนิด สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ คือ สารที่มีผลต่อกระบวนการ การทำงานต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของผู้ที่ได้รับ ตัวอย่างของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีอยู่ในน้ำนมได้แก่ แอนติออกซิแดนท์ โกรทแฟคเตอร์ ที่เสริมสร้างการทำงานของระบบการทำงานของร่างกาย ได้แก่ ระบบทางเดินลำไส้ เส้นเลือด ระบบประสาท และระบบต่อมไร้ท่อ ฮอร์โมนต่างๆ ที่ควบคุมการเจริญเติบโต และกระบวนการเมแทบอลิซึมของร่างกาย รวมทั้งแฟคเตอร์ และเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น แมคโครฟาจก์ T-cells ลิมโฟไซต์ ไซโตคายน์ แอนติบอดีชนิดต่างๆ (IgA, IgG, IgM)
คุณค่าน้ำนมแม่ที่ผ่านการเก็บรักษา
การจัดเก็บน้ำนมเพื่อใช้ในภายหลังจำเป็นต้องคำนึงสุขอนามัย ความสะอาดของอุปกรณ์และภาชนะที่ใช้ในจัดเก็บเสมอ เนื่องจากน้ำนมแม่ที่น้ำนมแม่ประกอบไปด้วยสารอาหารมากมายหลายชนิด รวมทั้งเซลล์ที่มีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว และยังมีเซลล์แบคทีเรียที่สามารถเจริญเติบโตโดยใช้นมแม่เป็นแหล่งอาหาร และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเมื่ออุณหภูมิเหมาะสม การจัดเก็บน้ำนมที่อุณหภูมิต่ำ เช่น การแช่แข็งอาจช่วยยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย แต่เอนไซม์ไลเปสยังสามารถทำงานได้ การใช้ความร้อนทำลายแบคทีเรียหรือยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไลเปสอาจช่วยให้นมเก็บรักษาได้ยาวนานและมีความปลอดภัยจากการปนเปื้อนของเชื้อโรคต่างๆ มากขึ้น แต่ทำให้คุณค่าสารอาหารต่างๆ ในอาหารลดลง การจัดเก็บน้ำนมแม่จึงต้องคำนึงถึงวิธีที่ใช้ในการจัดเก็บ และระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อคงคุณค่าของน้ำนมให้ได้มากที่สุด การเก็บนมแม่ที่อุณหภูมิต่ำหรือในตู้เย็นมักได้รับความนิยมมากกว่าการใช้ความร้อน โดยนมแม่จะมีอายุการเก็บรักษาที่แตกต่างกันตามอุณหภูมิที่ใช้จัดเก็บดังนี้
จากการศึกษาพบว่าน้ำนมแม่ที่วางไว้ที่อุณหภูมิห้อง จะมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระลดลง นอกจากนี้ยังพบการย่อยสลายของไขมันเนื่องจากเอนไซม์ไลเปสอย่างต่อเนื่อง การย่อยสลายไขมันจะทำให้เกิดกรดไขมันอิสระเพิ่มมากขึ้น ที่อุณหภูมิ 4 ?C ปริมาณวิตามินซีจะลดลงไป 1 ใน 3 จำนวนเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่นแมคโครฟาจก์ และนิวโทรฟิลที่มีอยู่ในน้ำนมลดลง แต่ลิมโฟไซต์ไม่เปลี่ยนแปลง น้ำตาลแลคโตส ไขมัน และ IgA ไม่เปลี่ยนแปลง การเก็บที่อุณหภูมิแช่แข็ง (-20 ?C) เอนไซม์ไลเปสยังคงทำงานได้ ทำให้ไขมันในนมถูกย่อยเป็นไขมันโมเลกุลเล็กๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้นมที่เก็บไว้อาจมีกลิ่นหืนได้ จากการศึกษาพบว่าการเก็บน้ำนมแม่ที่ -20 ?C ในช่วงแรกปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซีจะลดลง เมื่อเก็บเป็นระยะเวลา 3 เดือน ปริมาณธาตุอาหารหลัก ได้แก่ แลคโตส โปรตีนจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่โปรตีนบางส่วนอาจเสียสภาพอันเป็นผลมาจากการการแช่แข็งและการทำให้ละลาย เซลล์เม็ดเลือดขาว และแมคโครฟาจก์ จะมีปริมาณลดลง แต่เอนไซม์ไลโซไซม์ แลคโตเฟอริน อิมมูโนโกลบูลิน ชนิด IgA IgG และ IgM มีปริมาณไม่แตกต่างจากเดิม จะเห็นได้ว่าการเก็บรักษาน้ำนมแม่อาจส่งผลต่อคุณค่าของน้ำนมบ้างแต่คุณค่าทางอาหารรวมทั้งสารก่อภูมิต้านทานที่นมผงปรุงแต่งไม่สามารถสังเคราะห์ได้ยังคงมีอยู่ในน้ำนมแม่ ทั้งนี้ระบบภูมิคุ้มกันของเด็กอายุ 1 ขวบจะมีความสมบูรณ์เพียง 60 เปอร์เซ็นต์ของวัยผู้ใหญ่เท่านั้น การให้ทารกได้รับนมแม่อย่างต่อเนื่องจึงช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเหมือนได้รับวัคซีนอยู่ตลอดเวลาซึ่งทำให้ทารกมีภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น