Eng |
รองศาสตราจารย์ ดร.ภญ.บุษบา จินดาวิจักษณ์ ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ดูบทความตอนที่ 1 ได้ที่ แคลเซียมกับโรคกระดูกพรุน ตอนที่ 1 ?
จะรักษาโรคกระดูกพรุนได้อย่างไร
มียาหลายชนิดที่แนะนำให้ใช้ในการรักษา หนึ่งในนั้นคือ แคลเซียม โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มแร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบของกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังช่วยในการคงระดับแคลเซียมตามที่ร่างกายต้องการ ทำให้ไม่เกิดการสลายกระดูกอันเนื่องมาจากภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ทั้งนี้ขนาดยาที่แนะนำ คือ รับประทานแคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัม และแนะนำให้รับประทานวิตามินดี 400 – 800 ยูนิต ร่วมด้วย1
มีวิธีป้องกันโรคกระดูกพรุนหรือไม่
การป้องกันโรคกระดูกพรุนที่ดีที่สุดคือการทำให้กระดูกมีความแข็งแรง ซึ่งต้องเริ่มมาตั้งแต่วัยเยาว์ นั่นคือจะต้องมีการเสริมสร้างมวลกระดูกตั้งแต่เด็ก เพื่อการเจริญเติบโต และทำให้มวลกระดูกมีค่าสูงสุดในช่วงอายุที่ควรมีความหนาแน่นของมวลกระดูกสูงที่สุด ซึ่งจะเป็นการสะสมต้นทุนให้กระดูกแข็งแรงและมีคุณภาพที่ดีในวัยผู้ใหญ่ หลังจากนั้นเมื่อเริ่มมีความหนาแน่นของมวลกระดูกลดลงอย่างช้าๆ ก็ควรทำการเสริมสร้างกระดูกเพื่อทดแทนการสูญเสีย และในที่สุดเมื่อเข้าสู่วัยทองหรือวัยสูงอายุ การเสริมมวลกระดูกยิ่งมีความจำเป็น เพราะมวลกระดูกมีความหนาแน่นลดลงอย่างรวดเร็ว และจะลดลงอย่างต่อเนื่องในวัยสูงอายุ ยิ่งไปกว่านั้นผู้สูงอายุมีความเสื่อมถอยของร่างกาย มีโรคประจำตัว และใช้ยาหลายชนิด จึงมีโอกาสหกล้มง่าย และเกิดกระดูกหักได้บ่อย ดังนั้น ข้อที่ควรปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนสำหรับประชาชนทุกวัย1 คือ
มีอาหารอะไรบ้างที่มีแคลเซียมสูง
อาหารที่มีแคลเซียมสูง คือ นม ปลาตัวเล็กตัวน้อย กะปิ กุ้งแห้ง ผักคะน้า ดังแสดงในตารางที่ 2 รู้อย่างนี้แล้ว การดื่มนม หรือการรับประทานผัดผักคะน้าน้ำมันหอย หรือน้ำพริกกะปิ ก็จะได้แคลเซียมในปริมาณมาก อย่างไรก็ตามต้องรับประทานแต่พอดี
การรับประทานใบชะพลู ใบยอ ปริมาณมากโดยหวังจะได้แคลเซียมมากนั้นไม่เป็นประโยชน์ เพราะลำไส้สามารถดูดซึมแคลเซียมได้เพียงครั้งละ 500 มิลลิกรัม แต่กลับมีรายงานที่น่าตกใจว่า การรับประทานใบชะพลู ใบยอ ปริมาณมากอาจเกิดนิ่วในไตหรือกระเพาะปัสสาวะได้ เนื่องจากใบชะพลู 100 กรัม มีสารออกซาเลต 1,088 มิลลิกรัม และใบยอ 100 กรัม มีสารออกซาเลต 387.6 มิลลิกรัม ซึ่งค่อนข้างสูง ออกซาเลตที่มากเกินไปจะตกผลึกเป็นนิ่วในไตหรือกระเพาะปัสสาว
รับประทานแคลเซียมเท่าไหร่จึงจะพอดี
ปริมาณแคลเซียมที่แนะนำสำหรับผู้สุงอายุ คือ วันละ 1,000 มิลลิกรัม หากรับประทานได้ตามนี้ก็จะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ โดยควรแบ่งรับประทานมื้อละ 500 มิลลิกรัม แคลเซียมจึงจะถูกดูดซึมได้ดี
หากจะรับประทานแคลเซียมเม็ด ควรพิจารณาว่ายาเม็ดแคลเซียมนั้นอยู่ในรูปเกลือใด เพราะเกลือแคลเซียมแต่ละชนิดให้ธาตุแคลเซียมได้ไม่เท่ากัน กล่าวคือ แคลเซียมคาร์บอเนตจะให้แคลเซียมได้ร้อยละ 40 แคลเซียมซิเตรตให้แคลเซียมได้ร้อยละ 21 และแคลเซียมกลูโคเนตให้แคลเซียมได้ร้อยละ 9
เกลือแคลเซียมเหล่านี้ยังมีอัตราการละลายไม่เท่ากัน กล่าวคือ แคลเซียมซิเตรตละลายดีกว่าแคลเซียมคาร์บอเนต เกลือที่ละลายดีกว่าก็จะถูกดูดซึมได้เร็วกว่า ดังนั้นผู้สูงอายุจึงควรรับประทานแคลเซียมซิเตรตจะดีกว่าแคลเซียมคาร์บอเนต และควรรับประทานก่อนอาหารเนื่องจากสภาวะความเป็นกรดในกระเพาะอาหารจะช่วยละลายเกลือแคลเซียมเหล่านี้ หากรับประทานหลังอาหารก็จะมีการละลายของเกลือแคลเซียมลดลง
ปัญหาของการใช้แคลเซียม
ปัญหาสำคัญของการรับประทายยาเม็ดแคลเซียม คือ ท้องผูก4 จึงควรแนะนำให้ดื่มน้ำตามมากๆ และรับประทานผลไม้ให้มากขึ้น
แคลเซียมมีปฏิกิริยากับยาได้หลายชนิด4 เช่น ยาต้านจุลชีพฟลูออโรควิโนโลน ยาต้านจุลชีพเตตร้าไซคลิน ทำให้ยาเหล่านี้ถูกดูดซึมน้อยลง จึงควรรับประทานยาเม็ดแคลเซียมให้ห่างจากยาอื่นอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
เร็วๆ นี้มีรายงานการศึกษาที่พบว่า การรับประทานยาเม็ดแคลเซียมในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองด้วย แต่การเกิดโรคหลอดเลือดสมองมีอัตราช้ากว่าและไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ5 ซึ่งเกิดโอกาสเสี่ยงได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ผู้สูงอายุมีโอกาสเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว การเสริมแคลเซียมมากก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงให้แก่ผู้สูงอายุ
สรุปแล้วแคลเซียมมีประโยชน์กับโรคกระดูกพรุนหรือไม่
โดยสรุป แคลเซียมยังคงมีประโยชน์กับโรคกระดูกพรุน สามารถนำมาใช้ในการป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุได้ โดยควรได้รับแคลเซียมในขนาดที่เหมาะสมคือไม่เกินวันละ 1,000 มิลลิกรัม และรับประทานแต่ละครั้งไม่เกิน 500 มิลลิกรัม อย่างไรก็ตามไม่ควรรับประทานในขนาดสูงกว่านี้ เนื่องจากการศึกษาที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถยืนยันว่าการรับประทานแคลเซียมขนาดสูงจะเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกจนถึงขนาดที่จะลดโอกาสเกิดกระดูกหัก