Eng |
รองศาสตราจารย์ ดร.ชะอรสิน สุขศรีวงศ์ ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
อุบัติการณ์การเกิดโรคมะเร็งในประเทศไทย พบมะเร็งปากมดลูกสูงเป็นอันดับสอง (รองจากมะเร็งเต้านม) คือ 19.8 คน ต่อแสนประชากรหญิง หรือในประชากรหญิงทุกห้าพันคนจะพบหนึ่งคนที่เป็นมะเร็งปากมดลูก โดยมี Human Papilomavirus หรือ HPV เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก ซึ่งสายพันธุ์ของ HPV ที่ก่อโรคมะเร็งปากมดลูกในหญิงไทยประมาณร้อยละ 70-75 คือสายพันธุ์ 16 และ 18 เช่นเดียวกับในต่างประเทศ ดังนั้นจึงได้มีการคิดค้นวัคซีน HPV เพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกจากการติดเชื้อ HPV สองสายพันธุ์นี้
ในขณะนี้วัคซีน HPV มี 2 ชนิด คือ Quadrivalent vaccine (ชนิดไวรัส 4 สายพันธุ์ คือ 6, 11, 16 และ 18) และ Bivalent vaccine (ชนิดไวรัส 2 สายพันธุ์ คือ 16 และ 18) แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ HPV ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก เกิดจากสองสายพันธุ์ นั่นคือ สายพันธุ์ 16 และ18 ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกประมาณร้อยละ 70 ดังนั้นสำหรับการเลือกวัคซีนเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูกจึงสามารถเลือกใช้ได้ทั้งสองชนิด ซึ่งประสิทธิภาพของวัคซีนจะช่วยป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 และ18 ได้ประมาณร้อยละ 90-100 ในผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน สำหรับผู้ที่มีการติดเชื้อแล้ววัคซีนไม่สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคได้
ความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อจะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือน หลังจากได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม ส่วนระยะเวลาในการป้องกันโรคของวัคซีนยังคงต้องติดตามผลต่อไป เนื่องจากวัคซีนยังไม่มีข้อมูลประสิทธิผลของวัคซีนยาวเกินกว่า 10 ปี และเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการฉีดวัคซีน HPV ควรได้รับวัคซีนตั้งแต่ยังไม่ติดเชื้อ HPV นั่นคือ ก่อนการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ซึ่งวัคซีนนี้สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 – 26 ปี
ข้อควรระวัง
วัคซีนไม่แนะนำให้ฉีดในหญิงตั้งครรภ์ และไม่ควรฉีดในผู้ที่แพ้วัคซีนและส่วนประกอบในวัคซีน
อาการข้างเคียง
สามารถพบอาการปวด บวม แดง คัน บริเวณที่ฉีดวัคซีนและอาจมีไข้ได้
ความคุ้มค่า
วัคซีน HPV สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ แต่เนื่องจากวัคซีนมีราคาค่อนข้างสูง (เมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนชนิดอื่นๆที่ใช้ในการป้องกันโรค) ดังนั้น การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ของแต่ละบุคคลด้วย
ข้อควรรู้