ห่วงอนามัย…สำหรับการคุมกำเนิดระยะยาว
รองศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรหญิง นงลักษณ์ สุขวาณิชย์ศิลป์ หน่วยคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล |
|
126,475 ครั้ง เมื่อ 1 ช.ม.ที่แล้ว | |
2021-06-29 |
การคุมกำเนิดมีทั้งแบบถาวร ได้แก่ การผ่าตัดทำหมัน และแบบชั่วคราว การคุมกำเนิดชั่วคราวมีหลายวิธี เช่น การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด การใส่ห่วงอนามัยหรือห่วงคุมกำเนิด การใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด การใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง ซึ่งการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดถือเป็นการคุมกำเนิดชั่วคราวระยะสั้นและเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่นิยมมาก ส่วนการคุมกำเนิดชั่วคราววิธีอื่นที่กล่าวข้างต้นถือเป็นการคุมกำเนิดระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใส่ห่วงอนามัยซึ่งใช้ป้องกันการตั้งครรภ์ได้นานหลายปี จึงเพิ่มความสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยาว การใส่ห่วงอนามัยเป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ในบทความนี้จะกล่าวถึงห่วงอนามัยในด้านที่เกี่ยวกับการแบ่งประเภทรวมถึงรูปแบบ ผู้ที่เหมาะกับการคุมกำเนิดด้วยห่วงอนามัย ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการใส่ห่วงอนามัย การออกฤทธิ์และประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ของห่วงอนามัย ผลไม่พึงประสงค์ ข้อดีและข้อเสีย พร้อมทั้งข้อควรคำนึงเมื่อคุมกำเนิดด้วยห่วงอนามัย
ห่วงอนามัยคืออะไร?
ห่วงอนามัยหรือห่วงคุมกำเนิด (intrauterine device หรือ IUD) เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กสำหรับใส่เข้าในโพรงมดลูกเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ มีใช้มานานราว 100 ปีหรือนานกว่านี้ ห่วงอนามัยมีหลากหลายชนิดและมีรูปร่างแตกต่างกัน สามารถโค้งงอได้โดยไม่หัก วัสดุที่เป็นแกนอาจเป็นโลหะที่ขดเป็นวงหรือพลาสติก แต่ชนิดที่ใช้กันมากเป็นแกนพลาสติกและใส่สารแบเรียมซัลเฟต (barium sulphate) ซึ่งเป็นสารทึบรังสีเพื่อช่วยในการตรวจหาตำแหน่งด้วยเอกซเรย์ในกรณีที่มีการเคลื่อนที่ของห่วงอนามัย ห่วงอนามัยที่ใช้กันมากในปัจจุบันมีรูปร่างคล้ายอักษรตัวที (T-shaped IUD), อักษรตัวยู (U-shaped IUD) หรือคล้ายร่ม และอักษรตัววาย (Y-shaped IUD) ซึ่งอาจจัดรวมเป็นว่าคล้ายอักษรตัวทีก็ได้ (รูปที่ 1) ตรงปลายแกนแนวตั้งอาจทำเป็นปุ่มเพื่อกันไม่ให้ห่วงอนามัยหลุดจากปากมดลูก และตรงปลายแกนมีเส้นไนลอนคล้ายเส้นด้ายผูกไว้ 1 หรือ 2 เส้น ชนิดที่มีรูปร่างคล้ายอักษรตัวทีมีความกว้าง 28-32 มิลลิเมตรและความยาว 30-36 มิลลิเมตร หากเป็นชนิดที่มีรูปร่างคล้ายอักษรตัวยูหรือตัววายมีความกว้าง 18-24 มิลลิเมตร ส่วนความยาวใกล้เคียงกับชนิดที่มีรูปร่างคล้ายอักษรตัวที ใส่เข้าในโพรงมดลูกโดยผ่านอุปกรณ์สอด (inserter) ห่วงสามารถใส่อยู่ในโพรงมดลูกได้พอดี โดยมีเส้นไนลอนยื่นพ้นปากมดลูกเข้ามาในช่องคลอดราว 2-3 เซนติเมตร (เพื่อช่วยในการตรวจตำแหน่งห่วงอนามัยและการเอาห่วงออกในภายหน้า) ผู้ที่ไม่เคยมีบุตรบางรายมีโพรงมดลูกเล็กอาจเลือกห่วงอนามัยขนาดเล็กสุด ห่วงอนามัยมีประสิทธิภาพสูงมากในการป้องกันการตั้งครรภ์และใส่ได้นาน 3-10 ปี หรือนานกว่านี้ซึ่งขึ้นกับชนิดของห่วงอนามัย
การแบ่งประเภทห่วงอนามัย
ห่วงอนามัยมีทั้งชนิดที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ (inert IUD) และชนิดที่มีสารออกฤทธิ์ ซึ่งชนิดที่มีสารออกฤทธิ์จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าและนิยมใช้มากกว่า ในที่นี้จะกล่าวถึงห่วงอนามัยชนิดที่มีสารออกฤทธิ์โดยแบ่งตามประเภทของสารออกฤทธิ์ได้ดังนี้
ห่วงอนามัยเหมาะกับใคร?
ห่วงอนามัยใช้กับผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ต้องการคุมกำเนิดชั่วคราวเป็นระยะเวลานาน (นานกว่า 2 ปี) ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เคยมีบุตรมาแล้วหรือไม่ก็ตาม ซึ่งในอนาคตผู้หญิงเหล่านี้ประสงค์ที่จะมีบุตรจึงไม่เลือกวิธีทำหมันซึ่งเป็นการคุมกำเนิดแบบถาวร ห่วงอนามัยใช้ได้กับกลุ่มคนที่หลากหลายรวมถึงแม่ที่ให้นมลูกและผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกิน แม้ว่าห่วงอนามัยชนิดที่มีเลโวนอร์เจสเตรลอาจทำให้ปริมาณน้ำนมน้อยลงแต่ไม่ส่งผลกระทบมากนักไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพหรือปริมาณน้ำนม (หรืออาจเลือกใช้ชนิดห่วงอนามัยหุ้มทองแดง) ส่วนผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินหากคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นที่มีตัวยาเป็นฮอร์โมนอาจพบว่าระดับยาในเลือดต่ำกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวปกติได้เล็กน้อยและอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด แต่ในกรณีที่เป็นห่วงอนามัยซึ่งการออกฤทธิ์ที่สำคัญในการป้องกันการตั้งครรภ์เป็นการออกฤทธิ์แบบเฉพาะที่ (ภายในมดลูก) จึงไม่ขึ้นกับระดับยาในเลือด อย่างไรก็ตามผู้ที่จะใส่ห่วงอนามัยต้องไม่มีข้อห้ามตามที่กล่าวถึงข้างล่างนี้
ผู้ที่ห้ามใส่ห่วงอนามัย
ห้ามใส่ห่วงอนามัยไม่ว่าจะเป็นห่วงอนามัยหุ้มทองแดงหรือห่วงอนามัยที่มีฮอร์โมนเลโวนอร์เจสเตรลในกรณีดังนี้
ควรใส่ห่วงอนามัยช่วงเวลาใด?
การใส่ห่วงอนามัยและการเอาห่วงออกทำโดยแพทย์ที่ผ่านการฝึก ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์สามารถเข้ารับการใส่ห่วงได้ในช่วงเวลาใด ๆที่สะดวกและไม่ได้กำลังมีประจำเดือน อีกทั้งต้องไม่เข้าข่าย“ผู้ที่ห้ามใส่ห่วงอนามัย” ดังกล่าวแล้วข้างต้น การใส่ห่วงอนามัยทำได้แม้ภายหลังการคลอดบุตร อาจใส่หลังคลอดทันทีหรือใส่ภายใน 4-6 สัปดาห์หลังคลอด หรือใส่ทันทีหลังการแท้งบุตร แต่การใส่ห่วงอนามัยภายหลังคลอดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อห่วงอนามัยหลุด โดยเฉพาะเมื่อคลอดตามธรรมชาติ (ไม่ใช่การผ่าคลอด) ห่วงอนามัยไม่มีผลกระทบต่อการให้นมบุตร แม้ว่าห่วงอนามัยชนิดที่มีฮอร์โมนเลโวนอร์เจสเตรลอาจทำให้ปริมาณน้ำนมน้อยลงแต่ไม่ส่งผลกระทบมากนักไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพหรือปริมาณน้ำนม ให้หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หรือให้ใช้ถุงยางอนามัยในช่วงสัปดาห์แรกหลังการใส่ห่วงอนามัยเพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน จากนั้นจะมีการนัดมาตรวจความเรียบร้อยของห่วงอนามัยที่ใส่ โดยช่วงแรกจะนัดถี่ เช่น อาจนัดมาตรวจที่ 1, 3, 6 และ 12 เดือนภายหลังการใส่ห่วง ต่อจากนั้นจะนัดปีละ 1 ครั้ง
การตรวจตำแหน่งห่วงอนามัยด้วยตนเอง
ห่วงอนามัยเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กเมื่อใส่เข้าในโพรงมดลูกจะมีปลายเส้นไนลอนยื่นพ้นปากมดลูกเข้ามาในช่องคลอด ผู้ใส่ห่วงอนามัยสามารถตรวจสัมผัสเส้นไนลอนในช่องคลอดได้ด้วยตนเอง โดยใช้นิ้วชี้หรือนิ้วกลางที่ตัดเล็บสั้นและล้างสะอาดสอดเข้าไปสัมผัสดูว่ายังอยู่ในลักษณะเดิมหรือไม่ โดยความยาวเส้นไนลอนแต่ละครั้งต้องเท่าเดิม หากไม่พบเส้นไนลอนหรือพบว่าสั้นกว่าที่ตรวจครั้งก่อนแสดงว่าอาจมีการเคลื่อนที่ของห่วงอนามัย ในทางตรงกันข้ามหากพบว่าเส้นไนลอนยาวผิดปกติอีกทั้งมีบางส่วนของห่วงยื่นมาในช่องคลอดแสดงว่าห่วงอนามัยเสี่ยงต่อการหลุด ไม่ให้ดันห่วงกลับเข้าไปในโพรงมดลูกด้วยตนเอง ความผิดปกติเหล่านี้ล้วนทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดลงและเสี่ยงต่อการเกิดผลไม่พึงประสงค์จากห่วงซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่ผิดปกติ ให้กลับไปพบแพทย์เพื่อตรวจและทำการแก้ไข ในกรณีที่ไม่พบเส้นไนลอนและมั่นใจว่าห่วงอนามัยไม่ได้หลุดออกมา แพทย์ต้องตรวจหาตำแหน่งของห่วงอนามัยให้พบซึ่งอาจทำโดยวิธีอัลตราซาวน์อุ้งเชิงกรานหรือในบางกรณีต้องหาโดยการเอกซเรย์ การเคลื่อนที่ของห่วงอนามัยเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะในช่วง 2-3 เดือนแรกหลังการใส่ จึงควรตรวจบ่อย ๆด้วยตนเอง หลังจากนั้นอาจตรวจเดือนละ 1 ครั้งหลังประจำเดือนหยุด นอกจากนี้ช่วงมีประจำเดือนให้สังเกตดูว่ามีห่วงอนามัยหลุดออกมาด้วยหรือไม่
ห่วงอนามัยออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้อย่างไร?
ห่วงอนามัยหุ้มทองแดงออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์โดยการปล่อยทองแดงในรูปมีประจุ ซึ่งเป็นพิษต่อตัวอสุจิและไข่ ทำให้ตัวอสุจิในโพรงมดลูกเคลื่อนที่ไม่ได้และไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ นอกจากนี้ยังทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน ด้วยเหตุนี้แม้ว่าการปฏิสนธิเกิดขึ้นได้แต่ตัวอ่อนจะไม่สามารถฝังตัวจึงไม่เกิดการตั้งครรภ์ ด้วยกลไกการออกฤทธิ์ดังกล่าวนี้ห่วงอนามัยหุ้มทองแดงจึงใช้ในการคุมกำเนิดฉุกเฉินได้ด้วย ทองแดงในรูปมีประจุไม่รบกวนตัวอ่อนที่ฝังตัวได้แล้วจึงไม่มีฤทธิ์ในการทำให้แท้งบุตร ส่วนห่วงอนามัยที่มีฮอร์โมนเลโวนอร์เจสเตรลมีระดับยาในเลือดเมื่อคงที่จะอยู่ในช่วง 100-200 พิโคกรัม/มิลลิลิตร ซึ่งไม่เพียงพอในการยับยั้งการตกไข่ แต่จะให้ระดับยาที่เยื่อบุโพรงมดลูก 200-800 เท่าเมื่อเทียบกับยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน ด้วยเหตุนี้การออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ของฮอร์โมนเลโวนอร์เจสเตรลจากห่วงอนามัยจึงเป็นฤทธิ์เฉพาะที่ (ซึ่งไม่ขึ้นกับระดับยาในเลือด) โดยออกฤทธิ์กดการเจริญของเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่พร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน ด้วยเหตุนี้แม้ว่าการปฏิสนธิเกิดขึ้นได้แต่ตัวอ่อนจะไม่สามารถฝังตัวจึงไม่เกิดการตั้งครรภ์ อย่างไรตามยาจะไม่รบกวนตัวอ่อนที่ฝังตัวได้แล้วจึงไม่มีฤทธิ์ในการทำให้แท้งบุตร นอกจากนี้ฮอร์โมนเลโวนอร์เจสเตรลยังทำให้มูกปากมดลูกข้นเหนียวจึงขัดขวางการเคลื่อนที่ของตัวอสุจิ
ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์
การใส่ห่วงอนามัยเป็นวิธีคุมกำเนิดชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูงมาก อัตราความล้มเหลวใน 1 ปีแรกเพียง 0.2-0.8% และหากคิดตลอดช่วงอายุการใช้งานของห่วงอนามัยจะมีอัตราความล้มเหลวราว 0.7% ถึงน้อยกว่า 2% ขึ้นกับชนิดของห่วงอนามัย หากเป็นห่วงอนามัยหุ้มทองแดงชนิดที่มีพื้นที่ผิวทองแดง 380 ตารางมิลลิเมตร ตลอดช่วงเวลาที่ใช้คุมกำเนิดนาน 12 ปีพบอัตราการตั้งครรภ์น้อยกว่า 2%, ห่วงอนามัยที่มีฮอร์โมนเลโวนอร์เจสเตรล 13.5 มิลลิกรัม ตลอดช่วงเวลาที่ใช้คุมกำเนิดนาน 3 ปีพบอัตราการตั้งครรภ์ 0.9%, ชนิดที่มีตัวยา 19.5 มิลลิกรัม ตลอดช่วงเวลาที่ใช้คุมกำเนิดนาน 5 ปีพบอัตราการตั้งครรภ์ 1.5% และชนิดที่มีตัวยา 52 มิลลิกรัม ตลอดช่วงเวลาที่ใช้คุมกำเนิดนาน 5 ปีพบอัตราการตั้งครรภ์ 0.7-0.9%
หากตั้งครรภ์ขณะใส่ห่วงอนามัยจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือไม่?
หากเกิดการตั้งครรภ์ขณะใส่ห่วงอนามัย ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยว่าไม่เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกและเพื่อประเมินถึงความเป็นไปได้ที่จะเอาห่วงอนามัยออก หากสามารถเอาห่วงอนามัยออกมาได้ง่ายโดยไม่เกิดการบาดเจ็บหรือห่วงอนามัยถูกขับออกมาเองในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสแรก ในกรณีเช่นนี้จะไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ในกรณีที่ไม่สามารถเอาห่วงอนามัยออกมาและการตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปจะมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ การแท้งบุตรและการคลอดก่อนกำหนด แต่ไม่มีรายงานถึงการทำให้ทารกในครรภ์พิการ กรณีที่ใส่ห่วงอนามัยชนิดที่มีฮอร์โมนเลโวนอร์เจสเตรลแล้วเกิดตั้งครรภ์ พบว่าบางรายมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดมาเป็นเวลาราว 1 ปีก่อนเกิดการตั้งครรภ์ รายที่ตั้งครรภ์หากคลอดบุตรและรกออกหมดแล้วต้องตรวจให้พบห่วงอนามัยเพื่อความมั่นใจว่าห่วงไม่ได้ทะลุออกนอกมดลูกจนเกิดการตกค้างเป็นสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตัว และควรมีการแนะนำไม่ให้กลับไปใช้การคุมกำเนิดด้วยการใส่ห่วงอนามัยอีก เพราะมีโอกาสสูงจะที่เกิดเหตุการณ์เช่นเดิมซ้ำอีก
ผลไม่พึงประสงค์ของห่วงอนามัย
ผลไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการใส่ห่วงอนามัยไม่ว่าจะเป็นชนิดหุ้มทองแดงหรือชนิดที่มีฮอร์โมนเลโวนอร์เจสเตรลนั้นพบได้น้อยและส่วนใหญ่เกิดไม่รุนแรง ดังที่จะกล่าวถึงข้างล่างนี้
ห่วงอนามัยมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร?
การใส่ห่วงอนามัยเป็นวิธีคุมกำเนิดชั่วคราวแบบระยะยาวที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ใช้คุมกำเนิดได้นาน 3-10 ปีหรืออาจนานถึง 12 ปีซึ่งขึ้นกับชนิดของห่วงอนามัย จึงมีความสะดวกและลดข้อผิดพลาดบางอย่าง เช่น การลืมกินยา การนับวันคลาดเคลื่อน อีกทั้งยังสามารถกลับมามีบุตรได้ตามปกติทันทีภายหลังนำห่วงอนามัยออก นอกจากนี้การใส่ห่วงอนามัยไม่ว่าจะเป็นชนิดหุ้มทองแดงหรือชนิดที่มีฮอร์โมนเลโวนอร์เจสเตรลอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ (endometrial hyperplasia) และโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (endometrial cancer) แต่การใส่ห่วงอนามัยและการเอาห่วงออกต้องทำโดยแพทย์ ก่อนใส่ห่วงอนามัยต้องผ่านการตรวจภายใน การใส่ห่วงอนามัยเข้าในโพรงมดลูกหรือเอาห่วงออกทำให้เจ็บและมีเลือดออกเล็กน้อย นอกจากนี้ห่วงอนามัยไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงต่างจากการใช้ถุงยางอนามัยซึ่งช่วยป้องกันได้ รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของการใส่ห่วงอนามัยแสดงไว้ในตารางที่ 1
ห่วงอนามัยเอาออกได้เมื่อไร?
การเอาห่วงอนามัยออกต้องทำโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ผ่านการฝึก ในขณะที่นำห่วงอนามัยออกและหลังจากนั้นอาจมีเลือดออกและปวดเกร็งท้องเล็กน้อย ห่วงอนามัยเอาออกได้ในกรณีดังนี้
ข้อควรคำนึงเมื่อคุมกำเนิดด้วยห่วงอนามัย
ในการคุมกำเนิดด้วยการใส่ห่วงอนามัยมีข้อควรคำนึงบางประการดังนี้
10 อันดับอาหารที่มีโปแทสเซียมสูง กับประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพ 16 วินาทีที่แล้ว | |
ยาแก้ไอ เดกซ์โทรเมทอร์แฟน (dextromethorphan) และการนำไปใช้ ในทางที่ผิด 1 นาทีที่แล้ว | |
ทรานซามิน (transamin) กับผิวขาว ...จริงหรือไม่? 1 นาทีที่แล้ว | |
ยาเขียว ยาไทยใช้ได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก… 1 นาทีที่แล้ว | |
ยาหอม กับคนวัยทำงาน 1 นาทีที่แล้ว | |
ดูแลไตอย่างไร...ให้อยู่กับเราไปนานๆ 1 นาทีที่แล้ว | |
ธาลัสซีเมีย (Thalassemia)...กินอย่างไรให้เหมาะสม 2 นาทีที่แล้ว | |
การผสมยาปฏิชีวนะชนิดผงแห้งสำหรับรับประทาน 2 นาทีที่แล้ว | |
ยาลดไขมันในเลือด : ตอนยาลดไตรกลีเซอไรด์ 2 นาทีที่แล้ว | |
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ .. ที่นี่มีคำตอบ 2 นาทีที่แล้ว |
|
HTML5 Bootstrap Font Awesome