ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด
รองศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรหญิง นงลักษณ์ สุขวาณิชย์ศิลป์ หน่วยคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล |
|
277,675 ครั้ง เมื่อ 1 ช.ม.ที่แล้ว | |
2020-10-30 |
การคุมกำเนิดทำได้หลายวิธี วิธีที่นิยมกันมากคือการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด โดยเฉพาะชนิดฮอร์โมนรวม (combined oral contraceptives หรือ combined pills) ที่แต่ละเม็ดมีตัวยาสำคัญเป็นฮอร์โมนในกลุ่มเอสโตรเจน (estrogens) ผสมกับฮอร์โมนในกลุ่มโพรเจสติน (progestins) ซึ่งโพรเจสตินเป็นสารสังเคราะห์เลียนแบบฮอร์โมนโพรเจสเตอโรนในร่างกาย ยาเม็ดเหล่านี้บรรจุเป็นแผงสำหรับรับประทาน 1 เดือน โดยรับประทานวันละ 1 เม็ดทุกวันจนหมดแผง ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด (injectable contraceptives) มีการใช้มากเช่นเดียวกันแม้จะไม่เท่ากับยาเม็ดคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกำเนิดนี้มีทั้งชนิดที่มีฮอร์โมนในกลุ่มโพรเจสตินอย่างเดียว และชนิดฮอร์โมนรวมซึ่งมีฮอร์โมนในกลุ่มเอสโตรเจนผสมกับฮอร์โมนในกลุ่มโพรเจสติน ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการตั้งครรภ์และเพิ่มความสะดวกเนื่องจากไม่ต้องรับประทานยาทุกวัน ในบทความนี้จะกล่าวถึงยาคุมกำเนิดชนิดฉีดในด้านที่เกี่ยวกับการแบ่งประเภท ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มต้นฉีดยา การออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ ผลไม่พึงประสงค์ ข้อดีและข้อเสีย พร้อมทั้งข้อควรคำนึงสำหรับผู้ที่ได้รับการฉีดยา
ภาพจาก : https://cdn.cnn.com/cnnnext/dam/assets/150619112138-butt-injection-stock-super-169.jpg
ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดมีหลายประเภท
ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด มีทั้งชนิดที่มีฮอร์โมนในกลุ่มโพรเจสตินอย่างเดียว อาจเป็นเมดร็อกซีโพรเจสเทอโรน (ในรูปเมดร็อกซีโพรเจสเทอโรนแอซีเทต) หรือนอร์เอทิสเตอโรน (ในรูปนอร์เอทิสเตอโรนอีแนนเทต) และชนิดฮอร์โมนรวมซึ่งมีฮอร์โมนในกลุ่มเอสโตรเจน ได้แก่ เอสตราไดออล (ในรูปเอสตราไดออลไซพิโอเนต หรือเอสตราไดออลวาเลอเรต) ผสมกับฮอร์โมนในกลุ่มโพรเจสตินชนิดใดชนิดหนึ่งที่ระบุข้างต้น ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดจะมีตัวยาเข้าสู่กระแสเลือดทีละน้อยเพื่อให้มีการออกฤทธิ์ได้นานครบตามกำหนดเวลา ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดผลิตออกจำหน่ายหลายตำรับดังที่จะกล่าวข้างล่างนี้ แต่ละชนิดได้รับความนิยมแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดที่ใช้กันมากในประเทศไทยเป็นชนิดที่มีฮอร์โมนโพรเจสตินอย่างเดียวและฉีดทุก 3 เดือน
ภายหลังการฉีดยาเหล่านี้เสร็จแล้วไม่ควรบีบ นวดหรือคลึงบริเวณที่ฉีด เพราะจะทำให้ตัวยาบางส่วนถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเร็วเกินไป จนอาจเหลือไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมระยะเวลาในการป้องกันการตั้งครรภ์จนครบกำหนดนัดฉีดครั้งถัดไป
ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดเหมาะกับใคร?
ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดที่ใช้กันมากในบ้านเราเป็นยาฉีดแบบ 3 เดือนที่มีฮอร์โมนโพรเจสตินอย่างเดียว ใช้ได้กับสตรีทุกรายที่ประสงค์จะคุมกำเนิดเป็นเวลานาน รวมถึงผู้ที่มีน้ำหนักมากเกิน ทั้งนี้ต้องไม่เข้าข่ายเป็นผู้ห้ามใช้ที่จะกล่าวถึงข้างล่างนี้ อย่างไรก็ตามยาฉีดคุมกำเนิดชนิดนี้ (รวมถึงยาฉีดแบบ 2 เดือน) เหมาะกับผู้ที่มีบุตรแล้วมากกว่าผู้ที่ยังไม่เคยมีบุตร เนื่องจากยาทำให้เยื่อบุมดลูกฝ่อลง การจะตั้งครรภ์ได้จึงต้องรอนานหลายเดือนหลังฉีดยาครั้งสุดท้าย ผู้ที่ยังไม่เคยมีบุตรควรใช้การคุมกำเนิดชนิดที่ออกฤทธิ์ระยะสั้น เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดแผง หรือถุงยางอนามัย นอกจากนี้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปควรใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่น
ผู้ที่ห้ามใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดที่กล่าวถึงข้างต้น (ชนิดที่มีฮอร์โมนโพรเจสตินอย่างเดียว) ได้แก่ ผู้ที่ตั้งครรภ์ (ผู้ที่มีความเสี่ยงจึงต้องตรวจการตั้งครรภ์ก่อน) ผู้ที่มีภาวะเลือดออกจากช่องคลอดหรือทางเดินปัสสาวะอย่างผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งเต้านมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผู้ที่เป็นโรคตับรุนแรง ผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดดำอักเสบร่วมกับมีลิ่มเลือด (thrombophlebitis) ผู้ที่เป็นหรือมีประวัติว่าเคยเป็นโรคลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือด (thromboembolic disorders) ตลอดจนผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งในกรณีโรคที่เกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะลิ่มเลือดในหลอดนั้น แม้ข้อมูลยังไม่ชัดเจนว่ายาจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเหล่านั้นหรือไม่ แต่หากมีโรคเหล่านั้นอยู่ก่อนแล้วจะห้ามใช้ยาฉีดชนิดที่กล่าวถึง
ส่วนการเป็นโรคอื่นแต่ยังสามารถใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดที่มีฮอร์โมนโพรเจสตินอย่างเดียวได้ หากไม่มีทางเลือกอื่น แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เช่น โรคเนื้องอกตับ โรคหัวใจและหลอดเลือด
เริ่มฉีดยาคุมกำเนิดได้เมื่อไร?
การฉีดยาคุมกำเนิดสามารถเริ่มฉีดได้ในช่วงเวลาต่าง ๆ โดยมีรายละเอียดในข้อปฏิบัติที่แตกต่างกันดังนี้
ฉีดยาคุมกำเนิดก่อนหรือหลังกำหนดนัดได้กี่วัน?
ควรฉีดยาคุมกำเนิดตรงตามกำหนดเวลานัด ในกรณีที่จำเป็นต้องฉีดก่อนกำหนด หากเป็นชนิดฉีดทุกเดือนสามารถฉีดก่อนกำหนดได้ 7 วัน หากเป็นยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 2 หรือ 3 เดือนสามารถฉีดก่อนกำหนดได้ 2 สัปดาห์ ในกรณีที่ฉีดล่าช้า หากเป็นชนิดที่ฉีดทุกเดือนสามารถฉีดล่าช้ากว่ากำหนดได้ไม่เกิน 7 วัน หากเป็นยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 2 หรือ 3 เดือนสามารถฉีดล่าช้ากว่ากำหนดได้ไม่เกิน 2 สัปดาห์ (ดู หมายเหตุ ข้างต้น) ซึ่งการฉีดล่าช้าแต่อยู่ภายในช่วงเวลาที่ระบุนั้นไม่ต้องใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นมาเสริม หากว่าล่าช้าเกินเวลาที่ระบุให้งดการมีเพศสัมพันธ์หรือให้คุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ใช้ถุงยางอนามัย ไปจนถึงเวลาฉีดและหลังจากฉีดอีก 7 วัน
การออกฤทธิ์ของยาคุมกำเนิดชนิดฉีดในการป้องกันการตั้งครรภ์
ฮอร์โมนทั้งประเภทเอสโตรเจนและโพรเจสตินออกฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญในการป้องกันการตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังมีการออกฤทธิ์อย่างอื่นเสริมอีก หากเป็นฮอร์โมนประเภทเอสโตรเจนยังสามารถเพิ่มการบีบตัวของท่อนำไข่และเพิ่มการบีบตัวของมดลูก ทำให้ไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว (หากสามารถปฏิสนธิได้) มาถึงโพรงมดลูกในเวลาที่ไม่เหมาะสมในการฝังตัว ส่วนฮอร์โมนประเภทโพรเจสตินขัดขวางการเคลื่อนที่ของตัวอสุจิ โดยลดปริมาณมูกปากมดลูกและทำให้มูกปากมดลูกข้นหนืด อีกทั้งยังลดการโบกพัดของขนอ่อนในท่อนำไข่อีกด้วย นอกจากนี้ยังลดขนาดและลดจำนวนต่อมซึ่งทำหน้าที่สร้างสารคัดหลั่งที่เยื่อบุมดลูก ตลอดจนทำให้คอร์พัสลูเทียม (corpus luteum) สลายเร็วเกินโดยยังทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้สภาวะภายในมดลูกไม่พร้อมสำหรับการฝังตัวของไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว (หากสามารถปฏิสนธิได้) จึงไม่เกิดการตั้งครรภ์
ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการตั้งครรภ์
ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการตั้งครรภ์ หากมีการใช้ยาโดยการปฏิบัติอย่างถูกต้องสมบูรณ์ (perfect use) มีอัตราความล้มเหลว (เกิดการตั้งครรภ์) เพียง 0.2-0.3% (เกิดการตั้งครรภ์ 2 หรือ 3 คน ในจำนวนผู้ใช้ยา 1,000 คน ใน 1 ปีแรก) ซึ่งพอ ๆ กับการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (เมื่อมีการใช้ยาโดยการปฏิบัติอย่างถูกต้องสมบรูณ์เช่นเดียวกัน) แต่ถ้าใช้ตามปกติวิสัยโดยทั่วไปซึ่งอาจเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ จะมีอัตราความล้มเหลวสูงกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่เป็นยาเม็ดคุมกำเนิดมีอัตราความล้มเหลวสูงกว่านี้หลายเท่ามาก ซึ่งข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นอาจเป็นเรื่องการลืมรับประทานยา การรับประทานไม่ตรงเวลา การอาเจียนหลังการรับประทานยา เป็นต้น ซึ่งยาคุมกำเนิดชนิดฉีดจะตัดปัญหาเรื่องดังกล่าวได้ แต่อาจเกิดความคลาดเคลื่อนในการฉีดยาครั้งต่อไปที่ไม่ตรงตามกำหนดเวลา หรือมีความผิดพลาดขณะฉีดยา
หยุดฉีดยาคุมกำเนิดแล้วจะกลับมาตั้งครรภ์ได้เมื่อไร?
กรณีที่เป็นยาฉีดเมดร็อกซีโพรเจสเทอโรนแอซีเทตแบบฉีดคุมกำเนิดครั้งละ 3 เดือนซึ่งใช้กันมากในบ้านเรานั้น จะกลับมาตั้งครรภ์ได้โดยเฉลี่ยในเวลา 9-10 เดือน (แต่บางรายอาจนานถึง 1 ปีหรือนานกว่านี้) นับจากวันที่ฉีดยาครั้งสุดท้าย หรือราว 6-7 เดือนนับจากเวลาที่คาดว่ายาหมดฤทธิ์ในการป้องกันการตั้งครรภ์ หากเป็นนอร์เอทิสเตอโรนอีแนนเทตซึ่งฉีดคุมกำเนิดครั้งละ 2 เดือน จะใช้เวลาสั้นกว่านี้ ระยะเวลาในการกลับมาตั้งครรภ์ไม่ขึ้นกับระยะเวลาที่ได้ใช้ยามาแล้วว่านานเพียงใด กรณีที่เป็นยาฉีดชนิดฮอร์โมนรวมจะกลับมาตั้งครรภ์ได้เร็วคล้ายกับการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดแผง
ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดใช้ต่อเนื่องได้นานเท่าใด?
ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด เช่น ยาฉีดเมดร็อกซีโพรเจสเทอโรนแอซีเทตซึ่งใช้กันมากนั้น แม้ว่าผู้ที่ได้รับยาจะทนต่อยาได้ดีและยามีประสิทธิภาพสูง อย่างไรก็ตามการใช้ยาอย่างต่อเนื่องควรมีการประเมินสภาพร่างกายผู้ที่ได้รับยาทุก 2 ปี เพื่อพิจารณาถึงประโยชน์จากการใช้ยาว่ายังคงมีมากกว่าความเสี่ยงต่อผลไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้น
ผลไม่พึงประสงค์ของยาคุมกำเนิดชนิดฉีด
กรณีการฉีดยาคุมกำเนิดชนิดที่มีโพรเจสตินอย่างเดียวซึ่งใช้กันมากนั้น จะมีเลือดประจำเดือนมาผิดปกติ ช่วงแรกมาไม่สม่ำเสมอหรือมากะปริบกะปรอย ทำให้เกิดความอับชื้นและเปลืองผ้าอนามัย แต่ต่อมาจะค่อย ๆ น้อยลงและจะหายไป โดยไม่มีอีกเลยตลอดช่วงที่ใช้ยา (ทำให้ผู้ใช้เป็นกังวลว่าอาจตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัวและเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงหลายคนเลิกใช้) ปวดศีรษะ เจ็บคัดเต้านม ปวดท้อง อารมณ์เปลี่ยนแปลง รบกวนความรู้สึกทางเพศ เกิดฝ้า น้ำหนักตัวเพิ่ม (คนที่อ้วนง่ายอาจไม่ชอบ) การใช้เป็นเวลานานอาจทำให้ความหนาแน่นแร่ธาตุในกระดูก (bone mineral density) ลดลงเล็กน้อย แต่กลับสู่ปกติได้เมื่อหยุดใช้ยาและไม่เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดโรคกระดูกพรุน ส่วนการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านมและการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำนั้นข้อมูลยังไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตามในผู้ที่มีเป็นโรคมะเร็งเต้านมในช่วง 5 ปีจะห้ามใช้
ข้อดีและข้อเสียของยาคุมกำเนิดชนิดฉีด
ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด กรณีที่เป็นยาฉีดเมดร็อกซีโพรเจสเทอโรนแอซีเทตแบบคุมกำเนิด 3 เดือนมีข้อดีและข้อเสียหลายอย่างดังแสดงในตาราง
ข้อควรคำนึงเมื่อใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด
ข้อควรคำนึงบางประการสำหรับผู้ที่ได้รับการฉีดยาคุมกำเนิดมีดังนี้
การเลือกน้ำตาเทียมสำหรับรักษาโรคตาแห้ง: บทบาทของกรดไฮยาลูโรนิคและปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ 28 วินาทีที่แล้ว | |
ไตวายระยะสุดท้าย ... การรักษาแบบประคับประคอง 28 วินาทีที่แล้ว | |
ยาหอม กับคนวัยทำงาน 42 วินาทีที่แล้ว | |
รู้เท่าทันการใช้ฮอร์โมนทดแทนในหญิงวัยหมดประจำเดือน 44 วินาทีที่แล้ว | |
วัคซีนโควิด-19 ตอนที่ 3 : การพัฒนาสู่รูปแบบที่ไม่ใช้เข็มฉีดยา 53 วินาทีที่แล้ว | |
ยาแก้ไอ เดกซ์โทรเมทอร์แฟน (dextromethorphan) และการนำไปใช้ ในทางที่ผิด 56 วินาทีที่แล้ว | |
สาหร่ายวากาเมะ ลดความอ้วนได้จริงหรือ? 1 นาทีที่แล้ว | |
ยาเลื่อนประจำเดือน .. ที่นี่มีคำตอบ 1 นาทีที่แล้ว | |
ไม้ประดับมีพิษ….คิดสักนิดก่อนจะปลูก 1 นาทีที่แล้ว | |
ไมโครนีดเดิล (microneedle) กับการประยุกต์ใช้ด้านความงาม 1 นาทีที่แล้ว |
|
HTML5 Bootstrap Font Awesome